อาเซียน กับ ประเทศไทย และ คนไทย

 โดย   สมเกียรติ อ่อนวิมล

 

 

                “อาเซียน” เป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทยและพลเมืองไทย เป็นความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเราชาวไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต

“อาเซียน” เป็นเรื่องสำคัญสำหรับประชาชนพลเมืองในทั้งสิบประเทศที่รวมตัวกันเป็น “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า “อาเซียน” (ASEAN = Association of Southeast Asian Nations)

“อาเซียน” เป็นเรื่องสำคัญที่ยังมิได้ถูกกระตุ้นให้เห็นความสำคัญ

 สื่อสารมวลชนทั่วไปยังไม่ตื่นตัวนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียนในทางที่จะชี้ให้เห็นความสำคัญ

สื่อสารมวลชนไทยโดยทั่วไปรายงานข่าวสารเรื่องอาเซียนตามที่จะมีเหตุการณ์ ตามวาระของการเกิดกิจกรรมเท่าที่พอจะเป็นข่าวสารได้เท่านั้น ไม่มีการขยายความ วิเคราะห์ให้ลึกซึ้งมากพอถึงผลกระทบของความตกลงในความร่วมมือต่างๆใน “กรอบอาเซียน” ที่จะมาถึงตัวประชาชนพลเมืองไทยโดยตรง ทั้งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อม การประชุมที่สำคัญของอาเซียนแต่ละครั้งหากไม่มีประเด็นขัดแย้งระหว่างประเทศ ผลการประชุมตามวาระหลักจะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อสารมวลชนกระแสหลักทั้งหลายเท่าใดนัก

                “อาเซียน” มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของเราทุกคน แน่นอน

                แต่ข่าวสารที่จะอธิบายและย้ำเน้นให้สาธารณชนเห็นความสำคัญของ “อาเซียน” นั้นมีน้อยมาก หรือมี “ไม่มาก” พอ หากไม่เร่งรีบช่วยกันให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับอาเซียนเสียแต่บัดนี้ ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่สนใจว่าอาเซียนกำลังทำอะไรที่กระทบชีวิตความเป็นอยู่ของเราอย่างไร ตรงไหน และ เมื่อไร บ้างแล้ว อีกสี่ปีเศษข้างหน้าก็จะไม่ทันกาล เพราะถึงปี พ.ศ. 2554/ค.ศ.2015

หากเราไม่เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเข้าสู่ “ประชาคมอาเซียน” ในปี 2558/2015

หากรัฐบาลไม่เตรียมประเทศและประชาชนให้พร้อม

ทั้งประเทศไทยและพลเมืองไทย ซึ่งหมายถึงเราชาวไทยทุกคน ก็จะมิอาจเป็นผู้นำใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ แล้วเราก็จะตกอยู่ในสภาวะผู้ตามที่ไม่มี “ขีดความสามารถในการแข่งขัน” กับใครในอีกเก้าประเทศในอาเซียนได้ ไม่ต้องพูดถึงการแข่งขันใน “กรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน” เลย

                “อาเซียน” มีความสำคัญต่อคนไทยและประเทศไทย แน่นอน

                แต่ความสนใจสื่อสารเรื่อง “อาเซียน” อย่างจริงจังยังมีน้อยมาก ก็แน่นอนเช่นกัน

                นี่คือที่มาของการเริ่มต้นเขียนคอลัมน์ “บันทึกอาเซียน” หรือ “ASEAN Diary” ที่นี่ เป็นประจำ ทุกวันจันทร์ ทุกสัปดาห์ อันที่จริงแล้วเรื่องของอาเซียนนั้น มีให้เขียน มีให้รายงาน มีให้วิเคราะห์ มีให้เล่าถึงมากมายได้ทุกวันไม่จบสิ้น การได้เขียนบันทึกอาเซียนที่นี่สัปดาห์ละหนึ่งครั้งจะเป็นการส่งต่อการเชื่อมโยงความสนใจไปยังแหล่งขอมูลข่าวสารอื่นที่หลากหลายกว้างไกลและแยกย่อยไปตามความสนใจของผู้อ่านแต่ละท่าน

                ณ บทแรกของ “บันทึกอาเซียน” นี้ ขอบันทึกไว้แต่ตอนต้นก่อนว่า:

 1. “อาเซียน” มีความสำคัญมากต่อชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตการแข่งขันของประเทศไทยและพลเมืองไทยทุกคน

 2. “อาเซียน” มีความสำคัญมากต่อชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตการแข่งขันของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งสิบ พร้อมทั้งประชาชนพลเมืองทุกคนในทั้งสิบรัฐสมาชิกอาเซียนนั้น  

รายละเอียดอื่นๆทั้งข่าวสารและสาระความรู้เกี่ยวกับอาเซียนจะทยอยนำมาเล่าสู่กันฟัง ประกอบด้วยการอธิบาย วิเคราะห์ และแลกเปลี่ยนทัศนะกันไปทุกสัปดาห์ ตลอดปี อย่างน้อยๆก็ตลอด 5 ปีข้างหน้า บันทึกเรื่อง “อาเซียน” จะมีให้อ่านกันไปจนถึงปีเกิดของ ประชาคมอาเซียน” ในปี 2558/2015

 

 

 

ความสำคัญของอาเซียน

“อาเซียน” เป็นกลุ่มการรวมตัวของ 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2510/1967 โดยมีสมาชิกแรกก่อตั้ง 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย

ประเทศไทยมีสถานะพิเศษที่ชาวไทยภาคภูมิใจ เพราะไทยคือประเทศผู้ริเริ่มเสนอความคิดเรื่องการก่อตั้งอาเซียนในปี 2510/1967 เมื่อรัฐบาลไทยสมัยนายกรัฐมนตรีจอมพลถนอม กิตติขจร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ. (พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ ได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ มาประชุมหารือและร่วมลงนามก่อตั้ง “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือ “อาเซียน” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 / ค.ศ.1967 ณ กระทรวงการต่างประเทศ วังสราญรมย์ กรุงเทพมหานคร

ในเวลาต่อมามีอีก 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทยอยเข้ามาเป็นสมาชิกตามลำดับ คือ บรูไน, เวียดนาม, ลาว, พม่า และ กัมพูชา อาเซียนจึงมีสมาชิกรวม 10 ประเทศในปัจจุบัน เหลือติมอร์เลสเต (ติมอร์ตะวันออก) อีกเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคฯที่ยังมิได้เข้าเป็นสมาชิก ซึ่ง ณ ปี 2554/2011 กระบวนการรับติมอร์เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนกำลังใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

ในระยะเริ่มแรกอาเซียนทำงานร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ท่ามกลางความผันแปรของสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของโลก งานของอาเซียนจึงดำเนินไปอย่างช้าๆ มีการประชุมร่วมกันในระดับสูงสุด ระดับหัวหน้ารัฐบาล ที่เรียกว่า “การประชุมสุดยอดอาเซียน” (ASEAN Summit) ไม่บ่อยนักและ ไม่เป็นประจำรายปี บางครั้งก็เว้นช่วงประชุมนานหลายปี มีครั้งหนึ่งไม่มีการประชุมสุดยอดอาเซียนนานถึง 9 ปี แต่ด้วยเหตุแห่งความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในโลกที่นับวันจะต้องรวมกลุ่มเพื่อสร้างพลังต่อรองและสร้างความเข้มแข็งในเวทีโลกให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ในที่สุดอาเซียนก็เริ่มจริงจังกับการทำงานร่วมกันแบบเข้มข้นมากขึ้นจนมีการประชุมสุดยอดอาเซียนทุกปี รวมทั้งการประชุมร่วมกันในระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐมากขึ้น มาถึงปี 2551-2552 / 2008-2009 ช่วงที่ประเทศไทยได้เป็นประธานอาเซียน การประชุมสุดยอดอาเซียนเริ่มมีปีละสองครั้ง ตามบทบัญญัติใน กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ที่ประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551/2008 เป็นต้นมา ต่อจากไทย เมื่อเวียดนามรับตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2010 ก็จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน 2 ครั้ง มาปี 2011 อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนก็จัดประชุมสุดยอดอาเซียนไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อเดือนเมษายน และจะจัดอีกครั้งในเดือนตุลาคม ปี 2011 ซึ่งจะเป็นการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 19 ในประวัติศาสตร์ 44 ปีของอาเซียน

 

 

 

ทุกครั้งทุกปีที่ผู้นำอาเซียนในระดับต่างๆประชุมหารือกันจะมีความตกลงในสนธิสัญญา อนุสัญญา พิธีสาร ปฏิญญา และความตกลงในโครงการ-แผนแม่บท-แผนงาน-แผนปฏิบัติการ มากมายหลายหลาก และทุกความตกลงล้วนมีผลบังคับให้ทำตาม ล้วนมีผลกระทบในทางพัฒนาสร้างสรรค์ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ของรัฐสมาชิกทั้ง 10 ประเทศทั้งสิ้น ความตกลงที่รัฐบาลไทยลงนามร่วมกับชาติอื่นๆในกรอบอาเซียนจะต้องปฏิบัติตามให้ลุล่วงไปพร้อมๆกัน หากฝ่ายไทย หรือประเทศใดประหนึ่งทำไม่ได้ หรือทำได้ช้า ก็จะเป็นฝ่ายเสียโอกาส หรือ “เสียเปรียบ” ผลเสียก็จะเกิดกับประชนของประเทศไทย หรือประเทศอื่นที่เกี่ยวข้องเช่นกัน ทุกวันนี้ผู้ที่ทำหน้าที่แทนประชาชนในกระบวนการทำงานร่วมกันในอาเซียนคือรัฐบาลและข้าราชการในระดับที่เกี่ยวข้องกับเจรจาทั้งหลาย การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการเจรจาและตัดสินใจเป็นสิ่งที่รัฐบาลและอาเซียนต้องการ เพราะอาเซียนมีอุดมการณ์ในการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มาก แทนที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น แต่ในเมื่อประชาชนยังไม่ได้รับข่าวสารความรู้มากพอและต่อเนื่อง ประชาชนก็จึงไม่ทราบว่าจะได้ประโยชน์และจะได้รับผลกระทบทั้งบวกและลบอย่างไร

                เรื่องเศรษฐกิจ เป็นเรื่องเร่งด่วน มีผลกระทบต่อชาวไทยและชาวอาเซียนอย่างถึงตัวโดยตรงฉับพลันทันที อาเซียนมีความตกลงตั้งเขตการค้าเสรีกันและเริ่มเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554/2010 และภายในปี 2558/2015 เขตการค้าเสรีอาเซียนจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดในการสถาปนา “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ที่ทั้ง 10 ประเทศจะร่วมกันไปมาหาสู่เดินทางทำมาค้าขาย-ลงทุน-หางานทำข้ามพรมแดนกันอย่างเสรี ทั้งแข่งขันกันเองและผนึกกำลังร่วมกันแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคอื่นในโลก

“ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” นี้เองที่จะกระทบพลเมืองไทยทุกคนอย่างชัดเจน

หากคนไทยไม่รู้ว่าอาเซียนคืออะไร กำลังทำอะไรที่เราจะได้รับผลกระทบ หรือจะทำให้เราได้โอกาสพัฒนาชีวิตเศรษฐกิจของเราได้อย่างไรบ้าง

หากเราไม่รู้ ไม่สนใจ ไม่ตื่นตัว แล้วพลเมืองอีก 9 ชาติในอาเซียนเขารู้ เขาสนใจ เขาตื่นตัว

ถึงวันนั้นเราก็พ่ายแพ้ เพราะไม่ใช้โอกาสในการพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอด และพัฒนาตนเองให้เติบโตในโลกใหม่ที่อาเซียนเป็นเขตเศรษฐกิจของเราเอง 

เรื่องเศรษฐกิจกระทบทุกคนโดยตรง และความตกลงทุกเรื่องทุกประเด็นมีแต่จะเดินหน้าต่อไป ไม่มีหยุดเดิน ไม่มีถอยหลัง

– เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเดินหน้าตามที่อาเซียนกำหนด

– ถ้าจะให้ดีเราก็ควรเดินนำหน้า เป็นผู้นำในอาเซียน

– หรืออย่างน้อยๆก็เดินคู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันไป

– มิฉะนั้นเราก็จะทำได้เพียงเป็นผู้เดินตามหลัง ซึ่งมีใช่ศักดิ์ศรีของประเทศไทยและชาวไทยที่เป็นผู้นำอาเซียนมาตั้งแต่แรกให้กำเนิด ในวันที่ 8 สิงหาคม 2510/1967

 

ในด้านการเมืองและความมั่นคง อาเซียนก็ประกาศเป้าหมายก่อตั้ง “ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน” (ASEAN Political-Security Community) ในปี 2558/2015 เช่นกัน

 

ในด้านสังคมและวัฒนธรรม อาเซียนก็ยึดปี 2558/2015 เป็นปีก่อตั้ง “ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน” (ASEAN Socio-Cultural Community) อีกด้วยเช่นกัน

 

รวมแล้ว ปี 2558/2015 เป็นปีที่จะเกิดประชาคมอาเซียน 3 ประชาคม เรียกรวมกันทั้งหมดว่า “ประชาคมอาเซียน” (ASEAN Community)

 

                ไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับประเทศไทยและประชาชนชาวไทย นอกจากจะเดินหน้าเต็มตัว คงความเป็นผู้นำในอาเซียนให้ได้ต่อเนื่องไป ด้วยการติดตามศึกษาหาข่าวสารความรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพของตนเอง ให้เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนและในโลกได้อย่างสมภาคภูมิ

 

สมเกียรติ อ่อนวิมล

1 สิงหาคม 2554/2011

ที่มา   :    Website : http://m2.truelife.com/guru/content.php?id=66330

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

KidDSquare.com ได้รับเชิญจาก KidscoveryTV รายการในเครือ รักลูกกรุ๊ป เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง “ฝึกจินตคณิตด้วยลูกคิด” เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ดำเนินรายการโดยคุณทวีรัตน์ จิรดิลก และผู้ร่วมรายการคือ ครูจา และ ครูอู๊ด จาก KidDSquare.com  คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองท่านใดสนใจหรือต้องการทราบรายละเอียดว่า จินตคณิตคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับเด็กๆ   เรียนกันแบบไหน แนะนำให้ดูจนจบ พิธีกรถามได้ละเอียดและเข้าใจดีมากครับ

ฝึกจินตคณิตด้วยลูกคิด 1/4

ฝึกจินตคณิตด้วยลูกคิด 2/4 


ฝึกจินตคณิตด้วยลูกคิด 3/4


ฝึกจินตคณิตด้วยลูกคิด 4/4

Tags : , , , , | add comments

เชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่ท่านมีมาแต่กำเนิด มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตท่านตั้งแต่แรกเริ่ม เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมเชาวน์ปัญญา พวกเขามีความแหลมคม แต่พอพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้กลับหายไปจนเกือบจะหมดสิ้น มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างทางเป็นแน่

เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งได้ส่งเรื่องที่ชื่อว่า “โรงเรียนของสัตว์” ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากจะเล่าให้ท่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่า…

“ในวันหนึ่งสัตว์ทั้งหลายในป่าได้มารวมตัวกัน และตัดสินใจว่าจะตั้งโรงเรียนของสัตว์ขึ้นมา กระต่าย นก กระรอก ปลา และปลาไหล ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการพัฒนาหลักสูตร กระต่ายยืนกรานว่าเรื่องการวิ่งจะต้องเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตร นกบอกว่าเรื่องการบินก็ต้องอยู่ในหลักสูตร ปลาบอกว่าการว่ายน้ำจะต้องอยู่ในหลักสูตรเช่นกัน ส่วนกระรอกนั้นบอกว่าการปีนขึ้นต้นไม้ในแนวดิ่งก็เป็นสิ่งที่จำเป็น และเห็นว่าน่าจะต้องรวมไว้ในหลักสูตรด้วย ซึ่งในที่สุดพวกสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับมอบหมายให้ร่างหลักสูตรก็ได้นำวิชาต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน และจัดทำเป็นหลักสูตรขึ้นมา พวกมันได้ป่าวประกาศไปยังสัตว์ทั้งหลาย และบังคับให้สัตว์ที่เข้าเรียนหลักสูตรนี้จะต้องผ่านทุกวิชาตามที่กำหนดไว้

กระต่ายซึ่งเคยได้เกรดเอจากการวิ่ง มีปัญหามากในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่ง มันปีนขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดหัวสมองของมันก็ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถจะวิ่งต่อไปได้ จากที่มันเคยได้เกรดเอในการวิ่ง ตอนนี้มันกลับได้เกรดซี และที่แน่นอนก็คือมันได้เอฟ (สอบตก) ในการปีนต้นไม้ นกที่เคยเก่งมากในเรื่องการบิน แต่พอต้องเรียนวิชาขุดโพรงลงไปในดิน มันก็ทำได้ไม่ดีนัก จะงอยปากของมันแตกและปีกของมันก็หัก ไม่ช้าไม่นานมันก็ได้เกรดซีในวิชาการบิน และได้เอฟในวิชาขุดโพรง และมันก็ประสบปัญหาในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่งเช่นกัน

ในที่สุดสัตว์ที่สามารถเรียนจบผ่านหลักสูตรนี้ไปได้กลับกลายเป็นเจ้าปลาไหล ที่ทำทุกอย่างผ่านได้แบบครึ่งๆ กลางๆ แต่มันก็ทำให้ผู้สร้างหลักสูตรมีความสุข ที่เห็นว่าสัตว์เหล่านั้นได้เรียนรู้ทุกวิชาที่เหล่าบรรดากรรมการหลักสูตรได้พัฒนาขึ้นมา และต่างพากันเรียกการศึกษาแบบนี้ด้วยความภูมิใจว่าการศึกษาแบบ “ครอบจักรวาล”

ฟังเรื่องนี้แล้วเราอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าขบขัน แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการศึกษาของพวกเรา เราพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้คนทุกคนเหมือนกัน เราได้ทำลายศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในคนแต่ละคน เราบั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองในคนแต่ละคนจนหมดสิ้น

เชาวน์ปัญญาที่ติดตัวมาเริ่มตายไปในขณะที่เราพยายามจะลอกเลียนคนอื่น หากท่านต้องการจะให้เชาวน์ปัญญาที่มีมาคงอยู่ ท่านต้องเลิกการเลียนแบบ เชาวน์ปัญญาจะถูกกำจัดไปโดยปริยายหากท่านทำตามผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่ท่านเริ่มคิดจะเป็นเหมือนคนอื่น ท่านจะสูญเสียเชาวน์ปัญญาทีท่านมีอยู่ไป ท่านเริ่มจะโง่เขลานับตั้งแต่วินาทีที่ท่านเริ่มเปรียบเทียบตัวท่านกับคนอื่น ท่านจะสูญเสียความสามารถตามธรรมชาติของท่าน ท่านจะไม่มีความสุขอีกต่อไป ท่านจะไม่ได้สัมผัสกับความใสสะอาด ท่านจะสูญเสียความคมชัด เสียวิสัยทัศน์ของท่านไป ท่านจะต้องหยิบยืมดวงตาของผู้อื่นมาใช้ แล้วเราจะมองผ่านดวงตาของคนอื่นได้อย่างไร? เราต้องใช้ดวงตาของเราเอง เราต้องเดินด้วยลำแข้งของเราเอง เราต้องใช้หัวใจที่เป็นของเราเอง คนหลายคนมีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยของที่หยิบยืมมาจากผู้อื่น คนเหล่านี้จะรู้สึกว่าชีวิตของเขาติดขัดเป็นอัมพาต มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าโง่เง่าเบาปัญญา

โลกเราต้องการการศึกษาในรูปแบบใหม่ คนที่เกิดมาเป็นกวี จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่มากในวิชาคณิตศาสตร์ ส่วนคนที่อัจฉริยะในทางคณิตศาสตร์ก็ต้องมามะงุมมะงาหราอยู่กับการท่องวิชาประวัติศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับหัวกลับหางค่อนข้างยุ่งเหยิง เป็นเพราะว่าการศึกษาไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของคนแต่ละคน ไม่ได้ให้ความเคารพในสิ่งที่คนแต่ละคนมี ควบคุมบังคับให้ทุกคนเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด อาจจะมีคนบางคนที่เดินไปกับรูปแบบนี้ได้ แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

คนส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนหลงทาง และลำบากใจ

ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือความรู้สึกที่ว่าตัวเองโง่ ไม่มีค่า ไม่มีเชาวน์ปัญญา เราต้องอย่าลืมว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับเชาวน์ปัญญา เราเกิดมาพร้อมกับความงดงามนี้ มันเป็นสิ่งที่หอมหวานที่ติดตามเรามาจากดินแดนอันไกลโพ้น แต่ครั้นเมื่อมาถึงโลกนี้ สังคมก็เริ่มโจมตีเรา เข้ามาจัดแจง เปลี่ยนแปลง สั่งสอน ตัดต่อ เติมแต่ง จนในที่สุดเราก็สูญเสียสิ่งเดิมที่มีติดมาจนไม่เหลืออะไรเลย นั่นคือวิถีทางที่ทำให้เชาวน์ปัญญาของเราถูกทำลาย

จากหนังสือ “ปัญญาญาณ” ของ OSHO แปลโดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด สำนักพิมพ์ Free MIND

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

อะไร ……. สำคัญกว่า?

Posted by malinee on Sunday Jun 3, 2012 Under Uncategorized

หากคุณพ่อ คุณแม่สมัยใหม่นึกย้อนกลับไปดี ๆ เมื่อสมัยที่คุณยังเป็นเด็กอยู่นั้น จะพบว่าเด็กในสมัยก่อน กับสมัยนี้นั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งได้แก่ ขนาดของครอบครัว จำนวนสมาชิกในครอบครัว การดูแลเอาใจใส่ การเลือกโรงเรียน หรือแม้แต่การอบรมเลี้ยงดู

สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เพียงต้องการชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของวิถีชีวิตในแบบตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของคนไทย ทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกสบายมากขึ้น การติดต่อสื่อสารใช้เวลาสั้นลง จนเกิดเป็นความเคยชินจนลืมนึกถึงบางอย่างที่ไม่สามารถเร่งหรือย่นระยะเวลาได้ด้วยเทคโนโลยี  เช่น เราไม่สามารถเร่งให้เด็กเดินได้ตั้งแต่ 6 เดือนแรก ซึ่งการที่เด็กแต่ละคนจะสามารถเดินได้นั้น ก็ต้องเริ่มมีการพัฒนาเรื่องการทรงตัวจากการนั่ง และการคลานก่อน นอกจากนี้แล้ว โครงสร้างทางด้านร่างกายก็ยังเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน หากเด็กยังมีกระดูกหรือกล้ามเนื้อที่ไม่แข็งแรง การเดินก็ถือเป็นสิ่งที่อันตรายต่อตัวเขาเช่นกัน

การยกตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น เปรียบเสมือนกับการเรียนรู้ของเด็ก  ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความพร้อมที่แตกต่างกัน หรือเด็กหลาย ๆ คนอาจต้องการวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิม นั่นไม่ได้แปลว่าเขามีปัญหาในการเรียนรู้ แต่คนส่วนใหญ่ซึ่งหมายถึงพ่อแม่ ครู อาจารย์ มักใช้ข้อสอบหรือแบบทดสอบในการวัดผลออกมาในรูปของคะแนน เนื่องจากเป็นผลที่ออกมาเป็นตัวเลขได้แน่นอน สิ่งต่าง ๆ ที่วัดออกมา บางคนอาจเรียกว่าความฉลาด ความเข้าใจ หรือความรู้ แต่โดยรวมเข้าใจได้ว่าคือ “IQ” นั่นเอง

นอกจาก IQ แล้ว งานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นก็ยังสนับสนุนว่ายังมีความฉลาดด้านอื่น ๆ อีกที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้เด็ก ซึ่งพอสรุปได้อีก 2 ประเด็นก็คือ EQ  , SQ

เราจะมาพูดถึงทีละประเด็น ซึ่ง Q ต่อมาคือ EQ หลาย ๆ คนทราบดีว่า EQ คือความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งหมายความว่าเขาสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างดี มีประสิทธิภาพ หลาย ๆ ครอบครัวที่ปล่อยปละละเลยกับการส่งเสริมการมี EQ ของเด็ก มักทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ไม่รู้จักการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การส่งเสริมนั้นสามารถทำได้โดยการใช้เกมส์ต่าง ๆ เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมอารมณ์ ให้รู้จักแพ้ชนะ (เกมส์ที่แนะนำควรเล่นกันในครอบครัว เช่น เกมส์เศรษฐี บันไดงู) ในช่วงแรกของการเล่น เด็กจะไม่รู้จักการควบคุมอารมณ์ แต่เมื่อสร้างสถานการณ์ขึ้นบ่อย ๆ แล้วมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะ เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการที่มีผู้ใหญ่ที่คอยชี้แนะอย่างถูกต้องและเหมาะสม  การที่เด็กถูกปล่อยให้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ IPad โดยเล่นอยู่คนเดียว จึงมีโอกาสที่เด็กจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวได้อย่างง่ายดาย

Q ต่อมาคือ SQ (Spiritual intelligence) ความหมายของ SQ ไม่มีบทเฉพาะตัว แต่พอจะกล่าวกว้าง ๆ ได้ว่าคือความฉลาดในความอดทน การประเมินตนเอง การรู้คุณค่าของตนเอง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีความสำคัญมากกว่าความรู้หลายเท่ามาก หากเด็กคนใดที่มีการฝึกในเรื่องของ AQ, SQ, MQ มาเป็นอย่างดี ก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขทั้งในหน้าที่การงานและชีวิต เนื่องจากเขาสามารถเปลี่ยนทัศนคติในเชิงลบให้เป็นบวกได้ หรือปล่อยวางสิ่งที่ตนเองไม่สามารถแก้ไขได้ คนที่มี SQ ที่ดีมักเป็นคนที่มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี (ซึ่งไม่ได้หมายถึงฐานะทางการเงิน แต่เป็นความรักความอบอุ่น)นั่นเอง

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments