Nov 27
Posted by malinee on Wednesday Nov 27, 2013 Under เกร็ดความรู้
ผู้ปกครองหลาย ๆ คน มีความเข้าใจว่าการเรียนจินตคณิตมีจุดประสงค์หลักคือการทำให้เด็กคิดเลขเร็ว
ในความเป็นจริงนั้น การเรียนจินตคณิตนั้น เปรียบเหมือนเด็กที่กำลังหัดว่ายน้ำ หากเขามีโอกาสในการฝึกฝนให้มีการว่ายน้ำในท่าที่ถูกต้อง ส่วนเด็กที่ไม่ได้ฝึกฝนให้ถูกท่า จะต้องใช้แรงในการว่ายที่มากกว่า ซึ่งทำให้เด็กทั้งสองกลุ่มสามารถว่ายน้ำได้ แต่เด็กที่ถูกฝึกให้ถูกท่าจะใช้แรงในการว่ายน้ำน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้ถูกฝึกอย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับจินตคณิต เปรียบได้กับเด็กที่ถูกฝึกว่ายน้ำให้ถูกท่า โดยเด็กจะสามารถมีความเข้าใจจำนวน คิดเลขเป็นระบบมากขึ้น และสร้างศักยภาพของสมองโดยการคิดเลขให้เป็นภาพอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
แต่ผู้ปกครองหลาย ๆ คน มักคาดหวังว่าการเรียนจินตคณิตในระยะเวลาสั้น ๆ จะสามารถทำให้เด็กคิดเลขได้เร็วขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มักลืมไปว่าการทำงานในแต่ละอย่างให้สัมฤทธิ์ผลได้ดี ไม่ว่าจะอยู่วัยใดก็ตาม จำเป็นจะต้องมีการฝึกให้เกิดทักษะก่อน ซึ่งการเรียนจินตคณิตก็เช่นกัน ในการจะทำให้ภาพเกิดในสมองซีกขวาได้นั้น ก็ต้องอาศัยเวลาและทักษะในการใช้ลูกคิดจนชำนาญเช่นกัน
จะเห็นว่าการเรียนจินตคณิตเป็นเรื่องเดียวกับการคิดเลขเร็วหากมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แต่อาจเป็นหนังคนละม้วนสำหรับเด็กที่ไม่ใส่ใจในการฝึกฝนเลย ดังนั้นหากพ่อ แม่ ผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานเรียนจินตคณิต หรือการเรียนใด ๆ ก็ตาม ให้ประสบความสำเร็จ จะต้องให้บุตรหลานได้มีการฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะ จนเป็นความชำนาญจึงจะสามารถเห็นผลสัมฤทธิ์ได้
ครูจา
Nov 20
เด็กสมาธิสั้นกับจินตคณิต
จากบทความเรื่องเด็กสมาธิสั้น พอจะมองเห็นภาพหรือคำจัดความของเด็กสมาธิสั้นกันบ้างแล้ว หลาย ๆ ครอบครัวมักคิดว่า เด็กสมาธิสั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และหลาย ๆ ครอบครัวก็ไม่เปิดใจยอมรับกับการเป็นเด็กสมาธิสั้นของบุตรหลานของตน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมาธิสั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากพ่อ แม่ ผู้ปกครองเปิดใจยอมรับ และพาเด็กไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้บรรเทาอาการที่เป็นอยู่ให้ทุเลาลง และเพื่อส่งเสริมให้เด็กสามารถจดจ่อมีสมาธิอยู่กับกิจกรรมที่ทำได้มากขึ้นต่อไป
จินตคณิตก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ปกครองหลาย ๆ คน ซึ่งจินตคณิตเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ฝึกให้เด็กได้มีวินัยในการทำงาน (การบ้านนอกเวลา) ดังนั้นการเรียนจินตคณิตจึงเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับเด็กสมาธิสั้นในกลุ่มที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้น ที่มีอาการไม่รุนแรงนักได้ เนื่องจากเด็กยังมีสมาธิในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่บ้าง แต่จะไม่เหมาะกับเด็กที่ยังไม่ได้เข้ารับการรักษา เนื่องจากในการใช้ลูกคิดนั้น เด็กจะต้องจดจ่ออยู่กับโจทย์และแกน (หลักหน่วย) ในการหาคำตอบแต่ละข้อ แต่เด็กในกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกจะมีสมาธิไม่ครบข้อ ในขณะที่เด็กในกลุ่มที่ได้รับการฝึกมาบ้าง จะเป็นการกระตุ้นให้จดจ่ออยู่กับโจทย์ในแต่ละข้อ จนกลายเป็นแต่ละแถว และในที่สุดก็เป็นหน้า ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดังนั้นสิ่งแรกที่จำเป็นต่อครอบครัวของเด็กสมาธิสั้น คือ การเปิดใจยอมรับ และเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อรักษา และเพิ่มกิจกรรมเสริมสมาธิต่าง ๆ เช่นการเล่นกีฬา โยคะ หรือศิลปะ เป็นต้น เพื่อพัฒนาสมาธิให้ยาวนานต่อเนื่องพอที่จะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากโรงเรียนที่มีมากขึ้นเมื่อเขาโตขึ้น แต่ในทางกลับกัน หากเด็กไม่ได้เป็นสมาธิสั้น แต่ด้วยวิธีการเลี้ยงดูที่ไม่กระตุ้นให้เด็กได้ทำกิจกรรมพัฒนาตนเอง หรือการเลี้ยงดูที่ปล่อยปละละเลย ทำให้เด็กขาดระเบียบวินัย วิธีการเลี้ยงดูดังกล่าวนี้ ส่งผลกระทบในด้านลบมากกับเด็กในปัจจุบัน เนื่องจากทำให้เด็กปกติ กลายเป็นเด็กที่ขาดความสนใจในการเรียนรู้ เฉื่อย ไม่พยายามคิด หรือ ทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้ความพยายามเลย ส่งผลให้ไม่ว่าจะมีการพัฒนาระบบการศึกษาอย่างไร เด็กไทยก็ยังคงเป็นเด็กที่อยู่ในแนวหลัง เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป
Nov 13
Posted by malinee on Wednesday Nov 13, 2013 Under เกร็ดความรู้
หลาย ๆ คน คงเคยได้ยินคำว่า สมาธิสั้น หรือ ไฮเปอร์ กันบ่อย ๆ บางครอบครัวอาจสงสัยว่ามันคืออะไร แต่หลาย ๆ ครอบครัวอาจจะประสบปัญหาลูกน้อยของตนเองเป็นสมาธิสั้น เรามาลองทำความเข้าใจกับคำว่า สมาธิสั้นกันดีกว่า
สมาธิสั้น เป็นภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมองในส่วนที่ควบคุมเรื่องของสมาธิ ซึ่งอาการหลักมักแสดงออกมาทางความผิดปกติทางพฤติกรรม 3 ด้านคือ
- การขาดสมาธิอย่างต่อเนื่อง เด็กมักมีอาการเหม่อลอย ขาดความพยายามในการทำงานที่ยากให้สำเร็จ สมาธิจะถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าได้ง่าย ไม่รอบคอบ
- อาการอยู่ไม่นิ่ง ซุกซนมากกว่าปกติ เล่นแรง ส่งเสียงดัง หยุกหยิก เด็กจะมีอาการน้อยลงเมื่อโตขึ้น (เป็นวัยรุ่น)
- ขาดการยั้งคิด หุนหันพลันแล่น มีอาการใจร้อน วู่วาม อดทนรอไม่ค่อยได้
เมื่อเราได้รู้ถึงประเภทของอาการสมาธิสั้นแล้ว คราวนี้เราลองมาดูพฤติกรรมบ่งชี้ของอาการสมาธิสั้นดังต่อไปนี้
9 พฤติกรรมบ่งชี้การขาดสมาธิ
- การขาดความละเอียดรอบคอบ ความผิดพลาดมักเกิดจากความสะเพร่า
- ขาดความตั้งใจที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะในการทำงานหรือการเล่น
- ดูเหมือนไม่ฟัง เมื่อมีคนคุยด้วย
- ไม่ทำตามคำสั่ง หรือทำงานไม่สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย (โดยไม่ใช่เพราะดือ หรือไม่เข้าใจ)
- ขาดการจัดระเบียบในการทำงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ
- มักหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความพยายาม
- มักทำของหายบ่อย ๆ
- วอกแวกตามสิ่งเร้าได้ง่าย
- มักหลงลืมในการทำกิจวัตรประจำวัน
9 พฤติกรรมบ่งชี้การไม่อยู่นิง – หุนหันพลันแล่นมีดังนี้
- ยุกยิก นั่งไม่นิ่ง
- มักนั่งไม่ติดที่ มักลุกจากที่นั้งในห้องเรียน
- มักวิ่งไปมา หรือปีนป่าย มากเกินควร
- เล่นหรือใช้เวลาอยู่เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้
- มักไม่อยู่เฉย แสดงออกราวกับติดเครื่องยนต์ตลอดเวลา
- พูดมากเวินไป
- พูดโพล่งหรือตอบคำถามโดยไม่ฟังให้จบก่อน
- มักไม่ค่อยรอ
- ขัดจังหวะผู้อื่น เช่นการพูดแทรก หรือสอดแทรกการเล่นของผู้อื่น
การบ่งชี้ดังกล่าวข้างต้น ไม่ใช่ว่าเพียง 2 ใน 9 ข้อ แล้ววินิจฉัยเลยว่าเป็นสมาธิสั้น หากพฤติกรรมดังกล่าวต้องเป็นทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน และมีพฤติกรรมดังกล่าวอย่างน้อย 6 ข้อ และนอกจากนี้ยังต้องพิจารณาด้านอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ ความซนตามวัยของเด็ก และ ปัญหาการเลี้ยงดูที่ขาดการฝึกระเบียบวินัย
หลังจากทราบกันแล้วในข้างต้น คราวนี้ก็ต้องมาดูที่วิธีรักษา จากข้อมูลมักต้องมีการผสมผสานการรักษาหลาย ๆ วิธีด้วยกัน โดยแพทย์ต้องให้ความรู้และคำแนะนำในการเลี้ยงดูเด็ก ร่วมกับการประสานงานกับครูเพื่อช่วยเหลือเด็กในระหว่างการเรียน ควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิเด็กและการใช้ยาร่วมด้วย
การให้ความช่วยเหลือแก่เด็กสมาธิสั้นในเรื่องของการเลี้ยงดู
- การจัดสิ่งแวดล้อมในบ้าน และกำหนดกิจวัตรประจำวันให้เป็นระเบียบแบบแผน
- จัดบริเวณที่ไม่มีการรบกวนสมาธิ เพื่อให้เด็กมีสมาธิในการทำการบ้าน
- แบ่งงานที่มาก ให้เด็กค่อย ๆ ทำทีละเล็กละน้อย โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้กำกับดูแล จนงานเสร็จ
- ควรพูดหรือสั่งงานในขณะที่เด็กพร้อมที่จะฟัง
- ให้คำชมเมื่อเด็กทำงานแต่ละชิ้นสำเร็จ และวางเฉยเมื่อเด็กผิดพลาด
- เบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อเด็กเริ่มก่อกวนจากอาการสมาธิสั้น
- ตั้งกฎการาลงโทษ โดยการลดเวลาของสิ่งที่เด็กชอบลง หรือ แยกเด็กให้อยู่ตามลำพัง
- จัดกิจกรรม หรือกีฬาที่ต้องใช้แรง ให้กับเด็ก
- ผู้ปครองควรเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของระเบียบวินัย การรอคอย เพื่อสร้างนิสัยการมีระเบียบวินัยให้กับเด็ก
จากข้อมูลต่าง ๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่า การปรับพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้นนั้น ไม่ใช่หน้าที่หรือความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมีการร่วมมือกัน ทั้งทางบ้าน โรงเรียนและแพทย์ผู้วินิจฉัยโรค หากขาดการร่วมมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่สามารถแก้ไขพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และสุดท้ายปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็จะกระจัดกระจายในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา : http://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/57-4/00-Vitharon.pdf