images (1)ในการดูแลเด็กๆ ผู้ปกครองหลายๆ คนมักมีการศึกษาถึงการดูแลเลี้ยงดูจากรุ่น คุณปู่คุณย่า จากผู้มีประสบการณ์ หรือแม้แต่จาก website ต่างๆที่มีข้อมูลทางจิตวิทยามากมาย ซึ่งข้อมูลทางจิตวิทยาของทางฝั่งตะวันตกบางข้อมูล ก็แตกต่างจากข้อมูลจิตวิทยาในฝั่งตะวันออกอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม การเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน

สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของการส่งเสริมจุดเด่น และการแก้ไขจุดด้อยในตัวเด็ก  นั่นคือนักจิตวิทยาในฝั่งของชาวตะวันตก มักกล่าวว่า การแก้ไขจุดด้อยในเด็ก เปรียบเหมือนกับการกลบพื้นที่ที่เป็นหลุม ซึ่งให้ผลไม่คุ้มค่า ต้องเสียทั้งเวลาและทรัพยาการมากมาย เมื่อเทียบกับการส่งเสริมจุดเด่นในเด็ก ซึ่งเปรียบได้กับการทุ่มถมเนิน ที่ใช้เวลาและทรัพยากรที่น้อยกว่าการทุ่มถมหลุมมาก แต่ในฝั่งของชาวตะวันออกของบ้านเรานั้น นักจิตวิทยามักส่งเสริมให้กลบหลุมเพื่อให้มีพื้นที่ราบให้มากที่สุด มากกว่าการถมเนินให้สูงขึ้น

ข้อมูลที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดนี้ อาจทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองมีความสับสนว่า เราจะเลี้ยงดูบุตรหลานไปในแนวทางใด ก่อนอื่นต้องมาพิจารณาว่าวัฒนธรรมการเลี้ยงดูของเรา เหมาะกับการเลี้ยงดูแบบใด แบบตะวันตกนั้น พ่อ แม่ ส่วนใหญ่จะสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลานตนเองว่า เขามีอัจฉริยภาพในด้านใด นอกจากนี้ยังมีการบันทึก หรือทดลองอัจฉริยภาพของบุตรหลานจนแน่ชัด หลังจากนั้นก็มีการปรึกษากับนักจิตวิทยาที่เป็นที่ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ไม่ลังเลที่จะส่งเสริมอัจฉริยภาพให้กับบุตรหลานอย่างเต็มที่ และมักลืมเรื่องจุดด้อยไปเลย แต่การเลี้ยงดูของชาวตะวันออกที่ พ่อแม่ผู้ปกครอง มีเวลาอยู่กับเจ้าตัวน้อยเพียงช่วงเวลาสั้นๆ การแสดงอัจฉริยภาพของเด็ก ก็ไม่แน่ชัด ไม่มีการติดตามอัจฉริยภาพ ปล่อยให้เด็กเติบโตตามธรรมชาติ จึงไม่มีโอกาสที่จะได้ส่งเสริมอัจฉริยภาพอย่างต่อเนื่อง ส่วนจุดด้อยนั้น มักมีการส่งสัญญาณจากทางโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น หากคุณพ่อคุณแม่มีความเห็นที่แตกต่าง เข้ามาแชร์กันได้นะคะ

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , | add comments

stock-vector-schoolboy-with-homework-23006326            ในการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในวิชาใดๆ การจัดการบ้านให้กับเด็กๆ เพื่อเป็นการวัดความเข้าใจในชั้นเรียนของครูผู้สอน ว่ามีความเข้าใจเนื้อหาในการเรียนการสอนแล้วหรือยัง

สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ พ่อแม่ ผู้ปกครองมักปล่อยให้เด็กๆ เรียนทำการบ้านหลังเลิกเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่า การจราจรในกรุงเทพไม่เอื้ออำนวยทำให้ไม่สามารถไปรับบุตรหลานได้ตามเวลาเลิกเรียน หรือเพื่อต้องการตัดปัญหา การรบเร้าให้บุตรหลานทำการบ้าน รวมถึงการสร้างสมรภูมิรบในบ้านหลังเลิกเรียนและเลิกงาน สิ่งที่เลือกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน แต่นั่นหมายความว่าโอกาสทองของเด็กที่จะได้ทบทวนเนื้อหาความเข้าใจในวิชาต่างๆ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ที่ต้องการการฝึกฝน และการจัดกระบวนการคิด จากการทำการบ้านด้วยตนเองก็หายไป และนอกจากนี้แล้วโอกาสของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่จะได้ทราบถึงพัฒนาการในการเรียนของบุตรหลานก็หายไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทราบข้อบกพร่อง หรือแก้ไขความไม่เข้าใจในเนื้อหาบทเรียนของเด็ก จนกระทั่งปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนเด็กๆ ต้องมีการสอบแข่งขัน จึงรู้ตัวว่าเวลาในการที่จะให้เด็กทำความเข้าใจกับเนื้อหาต่างๆ มันสั้นเกินไป

หากปล่อยให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จะเป็นสาเหตุให้ความไม่เข้าใจในบทเรียนก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กไม่มีความสนใจในการเรียนในที่สุด

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , | add comments

BackTo-School-Kids-At-Desk-Lead-In            ใกล้ช่วงเวลาเปิดเรียนกันอีกแล้ว เด็กๆ หลายคนจะถูกส่งไปเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนในชั้นต่อไป เนื่องจากหลายๆ ครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยวซึ่งไม่มีคนคอยดูแล แต่หลายๆ ครอบครัวก็ปล่อยให้เด็กๆ เป็นอิสระกับเกมส์หรือ ทีวี ที่บ้านกับคุณปู่ คุณย่า เป็นการพักสมองในช่วงเวลา 2 เดือนเต็ม ซึ่งเป็นเรื่องปกติว่า เมื่อไม่มีกรอบในการควบคุมเด็กๆ เขามักจะทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ซึ่งไม่ใช่การทบทวนบทเรียนแน่นอน นั่นหมายความว่าสิ่งที่เขาเคยเรียนรู้ในข่วงเปิดเทอม ก็อาจลืมเลือนได้ตอนเปิดเทอม เช่น การท่องสูตรคูณ หรือแม้กระทั่งการอ่าน

หลายๆ ครอบครัวมักไม่มีการเตรียมตัวเด็กให้พร้อมกับเปิดเทอม เนื่องจากไม่ได้ศึกษาถึงเนื้อหาที่บุตรหลานจะต้องเรียนรู้ในช่วงเปิดเทอม ซึ่งโดยปกติการเรียนของเด็กๆ นั้นมักมีการทบทวนเนื้อหาเดิม และเพิ่มเนื้อหาใหม่ที่ลึกขึ้น แต่เมื่อเด็กเริ่มขึ้นประถมปลาย เนื้อหาใหม่ๆ จะมีอัตราส่วนที่มากกว่าเนื้อหาเดิมที่มากขึ้น เช่น การเรียนเรื่องเศษส่วนที่เริ่มเรียนครั้งแรกตอนป.4  ซึ่งในการเรียนเรื่องเศษส่วนที่คอนข้างทำความเข้าใจยากแล้ว ยังมีเรื่องของการขยายส่วนหรือการทำให้เป็นเศษส่วนอย่างต่ำ ซึ่งจะต้องมีความแม่นยำในเรื่องของการคูณและการหาร จึงจะทำให้เด็กสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องเศษส่วนได้ดีขึ้น ในทางกลับกัน หากเด็กๆ ไม่มีความพร้อมในเรื่องของการคูณและการหารแล้ว ย่อมทำให้การทำความเข้าใจในเรื่องเศษส่วนเป็นเรื่องที่ยากมาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากเรื่องเศษส่วนแล้ว ยังเชื่อมโยงกับเรื่องทศนิยมอีก ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลเอาใจใส่และเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลาน เพื่อให้เขาได้มีความสุขในการเรียนในโรงเรียน

ครูจา

Tags : , , , , , , , | add comments