จากไทยรัฐออนไลน์

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ.2554

ปี 53 แพทย์ใช้ทุนลาออกกว่า 600 คน ส่งผลปี 54 สธ.ต้องการแพทย์เพิ่มกว่า 2 หมื่นราย ส่วนยอดส่งต่อผู้ป่วย รอบ 1 ปีพุ่งกว่า 25,000 ราย เหตุรพ.ชุมชนไม่ยอมรักษา หลังหมอรพ.ร่อนพิบูลย์ ถูกตัดสินจำคุก…

วันที่ 18 เม.ย. มีการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน โดยมีการหารือถึงข้อมูลของกลุ่มบริหารงานบุคคล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ที่พบว่า ปี 2553 มีแพทย์ที่เข้าทำงานใน สธ. 1,303 คน แต่มีแพทย์ลาออกจาก สธ. 602 คน คิดเป็น 46.2 % โดยมีข้อสังเกตว่า จำนวนแพทย์ลาออกเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 2545 ที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง มีแพทย์ลาออกถึง 61.6 % เพิ่มขึ้น 75.9 % ในปี 2546 ขณะที่ก่อนหน้านั้นในปี 2544 มีแพทย์ลาออกเพียง 28.9 %

สำหรับข้อมูลของกลุ่มบริหารงานบุคคล สป.สธ. ยังระบุด้วยว่า การที่แพทย์ใช้ทุนขอลาออก สวนทางกับแผนความต้องการกำลังคนด้านสาธารณสุขในปี 2554 ที่สธ.มีความต้องการแพทย์ถึง 20,855 คน อัตราเฉลี่ยต่อประชากร 1 ต่อ 4,000 คน ทันตแพทย์ 8,462 คน เภสัชกร 6,736 คน พยาบาลวิชาชีพ 95,693 คน เทคนิคการแพทย์ 3,292 คน และกายภาพบำบัด 2,630 คน

นอกจากเรื่องแพทย์ลาออกแล้ว ยังมีข้อมูลที่ถือว่าเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลย์ในระบบสาธารณสุข กล่าวคือ สถิติการผ่าตัดของหน่วยบริการระหว่างปี 2548-52 พบว่า โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) ผ่าตัดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 504,656 ราย ในปี 2548 เป็น 677,363 ราย ในปี 2552 โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยในปี 2548 ผ่าตัด 549,235 ราย เป็น 724,168 ราย ในปี 2552 และโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) หรือโรงพยาบาลประจำอำเภอ เพิ่มขึ้นจาก 400,509 ราย ในปี 2548 เป็น 538,008 ราย ในปี 2553

สำหรับข้อมูลการส่งต่อผู้ป่วย พบว่าส่งต่อผู้ป่วยเข้ารพศ. เพิ่มจาก 299,870 ราย ในปี 2548 เป็น 431,933 ราย ในปี 2552 หากเทียบเฉพาะปี 2551 กับปี 2552 รพศ.รับส่งต่อเพิ่มถึง 25,613 ราย โดยปี 2551 รับส่งต่อแค่ 406,320 ราย รพท. ปี 2548 รับส่งต่อผู้ป่วย 242,708 ราย เพิ่มเป็น 324,676 ราย รพช.เพิ่มจาก 22,749 ราย ในปี 2548 เป็น 55,959 ราย ในปี 2552

ด้านนพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวถึงการลาออกของแพทย์ในปี 2553 ที่ดูเหมือนจะลดลงจากปี 2552 ว่า เป็นเพราะปี 2553 มีการเร่งรัดการผลิตแพทย์ จึงทำให้จำนวนแพทย์ที่เข้าทำงานในสธ.มากกว่าปี 2552 ถึง 300 คน และแพทย์กลุ่มนี้ไม่ได้ลาออกทันทีในปี 2553 แต่อาจจะลาออกในปี 2554 เป็นต้นไป เพราะใช้ทุนครบกำหนด 1 ปี ตามที่แพทยสภากำหนด จึงจะมีสิทธิ์เรียนต่อ

โดยแพทย์ที่ลาออกในปี 2553 เป็นกลุ่มแพทย์ที่เริ่มใช้ทุนเมื่อปี 2551 และใช้ทุนครบ 3 ปีตามข้อกำหนด และแพทย์ที่ใช้ทุนครบอย่างน้อย 1 ปี จึงเป็นแพทย์ใช้ทุนในปี 2551 และ 2552 ทั้งนี้ การที่แพทย์ลาออกโดยมาก เป็นเหตุผลของการต้องการเรียนต่อ เพราะเมื่อใช้ทุนครบกำหนดแล้ว สธ.มีทุนให้เรียนต่อจำนวนไม่มาก แพทย์จำนวนมากจึงลาออกเพื่อไปขอรับทุนเรียนต่อจากหน่วยงานอื่นนอกสธ., รับทุนอิสระจากมหาวิทยาลัย ที่โดยมากจะรับเป็นอาจารย์เมื่อเรียนจบ และไปต่างประเทศหรือไปทำอาชีพอื่น

“กรณีจำนวนการส่งต่อผู้ป่วยเข้ารพศ.และรพท.มากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการส่งต่อกรณีต้องผ่าตัด เป็นผลหลังจากที่ปี 2549 ศาลตัดสินให้แพทย์โรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ ซึ่งเป็น รพช. ติดคุกจากการผ่าตัด ทำให้รพช.ที่ไม่มีแพทย์ดมยา ไม่กล้าผ่าตัด จึงต้องส่งต่อ เพราะแพทย์ดมยาทั้งสธ. มีราว 100 คน อยู่ในรพช.ไม่ถึง 10 คน” นพ.อิทธพร กล่าว

Tags : | add comments

จากการเปิดสอนคณิตศาสตร์ของทางสถาบันมาหลายปี พบว่าเด็กในแต่ละยุคเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แต่มีแนวโน้มที่ค่อนข้างแย่ลง อาจเป็นเพราะระบบการศึกษาในปัจจุบันนี้ไม่มีการซ้ำชั้น ไม่มีการตีนักเรียน หรือแม้กระทั่งเกรดในและระดับนั้นจะมีการรวบรวมจากคะแนนเก็บประมาณ 70 -80 % ที่เหลือเป็นคะแนนสอบ ซึ่งทำให้ผลการเรียนไม่ใช่ผลการเรียนหรือความเข้าใจที่แท้จริงของเด็ก ซึ่งเราพบว่าเด็กหลาย ๆ คนอ่านหนังสือไม่คล่องหรือแม้กระทั่งการสะกดคำที่ไม่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่เด็กกำลังจะขึ้นฃั้นป. 4 โดยที่เด็กไม่เคยมีประวัติการสอบตกเลย ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ดูแลเด็กเพียงแค่ผลการสอบ หรือสมุดพกในแต่ละเทอม ก็อาจจะไม่ทราบว่าลูกนั้นมีปัญหาเรื่องการอ่าน กว่าจะรู้อีกทีก็เมื่อลูกเติบโตจนเค้ามีความรู้สึกที่ตนเองด้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นมาก และมีผลต่อเนื่องทำให้เขาไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียน หรือคิดว่าการเรียนนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากน่าเบื่อ เนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานการเรียนในทุก ๆ วิชา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลลูกในช่วงปฐมวัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เขาเหล่านั้นเติบโตพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เมื่อเขาโตขึ้น

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

จากเมเนเจอร์ออนไลน์
วันพฤหัสที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554
ธรรมชาติของ เด็กนั้นจะให้นั่งนิ่งๆ หรือมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ เป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก ดังนั้นครูจึงต้องใช้เทคนิควิธีที่จะช่วยดึงสมาธิของเด็กให้กลับมาสนใจอยู่ กับสิ่งที่ครูต้องการให้เด็กเรียน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ที่ครูต้องการให้เกิดขึ้นกับตัว ของเด็ก

ข้อแนะนำต่อไปนี้ จะช่วยให้ครูเรียกสมาธิและความตั้งใจเรียนของเด็กให้กลับคืนมาได้ใน สถานการณ์ต่างๆ

* ครูต้องแสดงออกถึงพลังและความกระตือรือร้น อยู่เสมอในเวลาที่อยู่กับเด็ก อาทิเช่น อย่าเอาแต่ยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ ให้เดินไปเดินมาบ้างและคอยพูดคุยสื่อสารกับเด็กอยู่เสมอ ครูควรปฏิบัติทั้งสองเรื่องนี้ควบคู่กันไป พร้อมกับหากิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ

* การเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมด้วย ไม่ควรยืนพูดหน้าชั้นอย่างเดียว และครูควรตั้งคำถามบ่อยๆ ทั้งคำถามที่ต้องการคำตอบและไม่ต้องการคำตอบ ในการสาธิตอะไรต่างๆ ให้เด็กดู ครูอาจเป็นคนเริ่มต้นคำถามโดยให้เด็กเป็นคนต่อจนจบ ครูอาจจะทำอะไรบางอย่างให้เด็กดู แล้วถามว่า “ทำไม ครูถึงทำอย่างนั้น?” มากกว่าการอธิบายเองทั้งหมด

* ครูควรทำสิ่งต่อไปนี้บ่อยๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ คือให้เด็กๆ เขยิบมานั่งใกล้ๆ ครูในขณะที่ครูกำลังจัดการเรียนการสอนหรือแสดงอะไรบางอย่างให้เด็กดู อาจให้เด็กนั่งขัดสมาธิบนพื้นก็ได้

* เมื่อเด็กตั้งคำถาม ให้ครูโยนลูกไปให้เพื่อนนักเรียนด้วยกันเป็นคนตอบ โดยครูควรแน่ใจว่าเด็กคนแรกที่ครูเรียกเป็นคนที่รู้คำตอบนั้นๆ ดี เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับการเรียนรู้จากกันและกัน

* ให้ครูชี้ตัวเด็กเมื่อต้องการให้เด็กตอบคำถาม แทนที่จะใช้วิธีเรียกชื่อ เนื่องจากเด็กจะไม่สนใจเรียนจนกว่าจะได้ยินครูเรียกชื่อตนเอง การใช้วิธีชี้ตัวจะทำให้เด็กๆ ทุกคนในห้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องที่กำลังเรียน

* ในกิจกรรมที่ครูเคยเรียกเด็กให้ร่วมแสดงความเห็น ให้ครูเรียกเด็กคนนั้นซ้ำอีก มิเช่นนั้นเด็กที่ถูกเรียกให้ตอบหรือครูขอความเห็นแล้ว จะหมดความสนใจในการเรียนทันที การเรียกซ้ำจะช่วยให้เด็กตั้งใจเรียนต่อไป

* หากเด็กคนใดแสดงท่าทีกระตือรือร้นอยากแสดงออก ครูควรมอบหมายให้เด็กเป็นคนรับผิดชอบงานบางอย่าง อาทิ การเล่นเกมในห้อง หรือการทำกิจกรรมบางอย่าง อย่างน้อยที่สุดเด็กคนดังกล่าวจะเรียนรู้ทักษะความรับผิดชอบ

* ในขณะที่ครูกำลังสาธิตหรือแสดงบางสิ่งให้เด็กกลุ่มหนึ่งดู ให้ครูตั้งคำถามหรือดึงเด็กจากกลุ่มอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วยโดยไม่ให้รู้ตัวล่วงหน้า เพื่อที่เด็กทุกกลุ่มจะได้ตั้งใจเรียนแม้ว่าครูจะไม่ได้สื่อสารกับกลุ่ม เหล่านั้นโดยตรงก็ตาม

* เมื่อถึงเวลาที่ครูต้องเรียกเด็กๆ กลับมาประจำที่หลังจากที่ทำงานกลุ่มแล้ว วิธีที่ดีคือ ไม่ต้องใช้คำพูด แต่ให้ใช้สัญญาณดีดนิ้วให้จังหวะแทน เด็กบางคนจะเริ่มสังเกตสัญญาณดังกล่าวและปฏิบัติตาม ในไม่ช้าเด็กๆ ทั้งชั้นก็เรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ครูไม่ควรใช้วิธีปรบมือให้สัญญาณ เพราะเสียงจะดังเกินไปและอาจทำให้เด็กตกใจได้

* ครูไม่ควรผูกขาดการเรียกชื่อเด็กให้เข้าร่วมกิจกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นผู้เลือกเพื่อนในชั้นเรียนเองบ้างด้วย

* พยายามใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เด็กมี เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหมดความสนใจในการเรียนคือ ครูมักคิดว่าเด็กอายุยังน้อยหรือมาจากครอบครัว/ชุมชนที่มีพื้นความรู้และ ประสบการณ์แตกต่างไปจากของครู หากครูรู้จักเลือกใช้ตัวอย่างจากโลกที่เด็กรู้จัก เด็กๆ จะเกิดความตื่นตัวที่จะเรียนรู้

* พยายามสื่อสารกับเด็กด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย อย่าทำให้เด็กเกิดความสับสนกับการใช้ศัพท์วิชาการยากๆ โดยครูควรเลือกใช้คำง่ายๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงกันแทน

* เวลาที่ครูต้องพาเด็กออกไปทัศนศึกษานอกห้องเรียน หมั่นเปลี่ยนวิธีเดินเรียงแถวทุกครั้ง เช่น อาจให้เด็กเดินตามลำดับความสูง ตามวันเกิด หรืออาจให้เด็กหญิงเดินสลับกับเด็กชาย เป็นต้น ในขณะที่เดิน ให้เด็กนับสิ่งต่างๆ ที่พบเจอรอบตัว เช่น รถยนต์ อาคารบ้านเรือน ต้นไม้ ฯลฯ เพื่อฝึกทักษะด้านการสังเกตและด้านคณิตศาสตร์ไปในตัว

* บางครั้งครูไม่ควรให้ความสนใจจนเกินไปกับเด็กที่สร้างปัญหาในห้อง เช่น เด็กที่ชอบพูดคุย ยั่วแหย่เพื่อน ฯลฯ โดยเฉพาะหากการสนใจนั้นทำให้บรรยากาศของห้องเรียนทั้งหมดสะดุดลง หรือในกรณีที่ห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนมากกว่า 20 คนขึ้นไป วิธีที่ดีที่สุดประการหนึ่งคือพยายามให้เด็กทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการ เรียน บางครั้งเด็กอาจจะสร้างปัญหาบางอย่างขึ้นมาอีก แต่พฤติกรรมเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่นาน ถ้าเด็กเห็นว่าเพื่อนๆ กำลังเรียนสนุกและไม่สนใจตน

ทั้งหมด นี้เป็นเพียงตัวอย่างและแนวทางที่ครูสามารถเลือกนำไปปฏิบัติเพื่อให้เด็กๆ ในห้องตั้งใจเรียนและเกิดสมาธิในการเล่าเรียนมากขึ้น ผลดีที่เกิดขึ้นคือนอกจากจะทำให้ครูเหนื่อยน้อยลงแล้ว ยังจะช่วยให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
ที่มาข้อมูล : http://www.newschool.in.th

Tags : , , , | add comments