May 25
Posted by malinee on Wednesday May 25, 2011 Under เกร็ดความรู้
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน หรือยุคที่เราเรียกกันว่า Globalization ซึ่งมันทำให้เราสามารถเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่ชีวิตในแบบที่เป็นคนไทยก็เปลี่ยนแปลงไป ร้อยละ 70 – 80 ของครอบครัวในยุคปัจจุบัน พ่อและแม่จะต้องทำงานนอกบ้าน แล้วปล่อยให้ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง ในช่วงก่อนวัยเรียน แต่เมื่อโตขึ้น บทบาทของพี่เลี้ยงก็จะน้อยลง ตัวเด่นในวัยเรียนในยุคปัจจุบันมักเป็นทีวี อินเตอร์เน็ท และ เกมส์ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากมีการเลือกใช้หรือกำหนดเวลาก็จะเป็นประโยชน์ แต่หลาย ๆ ครอบครัวที่ให้สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นมักไม่มีเวลาในการเลือก ถือว่ามันเป็นตัวฆ่าเวลาให้อยู่เป็นเพื่อนลูก ซึ่งแฝงไว้ด้วยความก้าวร้าว จึงทำให้มีงานวิจัยหรือผลสำรวจมากมายทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวว่า เด็กไทยไอคิวต่ำ และทำให้แนวโน้มของเด็กรุ่นใหม่ เป็นเด็กที่ไม่มีความอดทนกับการรอคอย ไม่พยายามทำในสิ่งที่ยาก หรือต้องใช้ความสามารถ รวมถึงขาดสมาธิในการเรียน เป็นเหตุให้เด็กไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่พยายามฝึกฝนในการฝ่าฝันอุปสรรค ไม่มีทักษะในการแก้ปัญหา
ถ้าเด็กในวัยเรียนยังไม่มีความพยายามในการเรียน แล้วเมื่อไหร่เขาเหล่านั้นจะพร้อมที่โตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบตัวเอง ครอบครัวและสังคม ดังนั้นหยุดทำร้ายเขาด้วยการหยิบยื่นสิ่งมอมเมาหรือ สิ่งเร้าในวัยที่เขายังไร้เดียงสา ยังไม่รู้จักเลือกสิ่งที่ควรและไม่ควร ก่อนที่จะทำลายอนาคตของเขาไปชั่วนิรันดร์
May 11
จากการเปิดคอร์สในแต่ละปี เราพบว่า แนวโน้มของจำนวนเด็กที่มีปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก่อนที่จะนำเด็กเข้าเรียนนั้น เราพบว่าเด็กร้อยละ 80 – 90 มีทักษะในการคิดคำนวณอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับในการเรียนที่โรงเรียน ซึ่งในการเรียนคณิตศาสตร์นั้น เราต้องแยกประเด็นก่อนว่าเด็กมีปัญหาเรื่องจำนวน หรือการตีความ แต่ในปัจจุบันเราพบปัญหาเพิ่มว่าจะมีเด็กประมาณ 20 % ที่มีปัญหาการอ่าน ความรุนแรงของปัญหาจะมีมากขึ้นเมื่อเด็กอยู่ในชั้นที่โตขึ้น แต่ไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการอ่าน ทำให้การอ่านประโยค กลายเป็นการสะกดทีละคำ และไม่สามารถรวบเป็นประโยคหรือตีความได้ โดยการอ่านเป็นช่วง ๆ นั้นทำให้ยากกับการแปลความโดยรวม ซึ่งทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่มีความมั่นใจในการเรียน จึงส่งผลกระทบต่อผลการเรียนในหลายๆ รายวิชา รวมทั้งวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งต้องอาศัยการอ่านเพื่อที่จะตีความ และ วิเคราะห์โจทย์ปัญหาต่อไป
May 11
Posted by malinee on Wednesday May 11, 2011 Under เกร็ดความรู้
การเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง จึงมักมีคำถามที่พบบ่อยกับการเรียนจินตคณิต หรือแม้กระทั่งคณิตศาตร์เอง ซึ่งแยกได้พอสังเขปดังนี้
– วัยใดที่เหมาะกับการเรียนจินตคณิตที่สุด จากประสบการณ์ในการสอนพบว่าเด็กแต่ละคนมีความพร้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งเราพบว่าการเรียนจินตคณิตในวัยที่เด็กยังไม่มีความชำนาญในการบวกลบตัวเลขที่คล่องจะได้ประโยชน์มากกว่า เนื่องจากเด็กที่คิดเลขได้คล่องแล้วจะรู้สึกยุ่งยากเมื่อต้องใช้ลูกคิดกับตัวเลขที่ง่าย ในขณะที่เด็กเล็ก ๆ ลูกคิดจะเป็นสื่อหรือเครื่องมือที่ช่วยให้เค้าได้คิดจำนวนซึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งออกมาเป็นรูปธรรมได้ ซึ่งเมื่อเด็กมีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวจนเกิดความคุ้นชินแล้ว มันยังสามารถสร้างจินตภาพให้เค้าได้อีกในระดับต่อไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเด็กที่คิดเลขคล่องไม่สามารถสร้างจินตภาพดังกล่าวได้ เพียงแต่การสร้างจินตภาพนั้นต้องผ่านการฝึกฝน ซึ่งเด็กทุกคนหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ก็สามารถฝึกฝนได้เช่นเดียวกัน แต่ภาพที่เกิดกับผู้ใหญ่นั้นไม่ชัดเจน หรือมันเกิดการผสมผสานระหว่างตัวเลขกับจินตภาพมากกว่าในเด็ก ซึ่งจะเป็นภาพชัดเจน
– เด็กจำเป็นต้องคิดเลขให้ได้เร็วหรือไม่ เชื่อว่าทุกคนก็มีคำตอบอยู่แล้วว่าไม่จำเป็น แต่สิ่งที่จำเป็นกับเด็กก็คือ การคิดเลขได้คล่อง ซึ่งมีกระบวนการหรือวิธีอยู่มากมายที่จะให้ได้คำตอบจากคำถามเพียงคำถามเดียว ซึ่งขึ้นอยู่กับศักยภาพและวิธีการของเด็กแต่ละคน
– ทำไมเด็กจึงต้องเรียนคณิตศาสตร์ การเรียนคณิตศาสตร์เป็นการเรียนเพื่อให้เด็กนั้นจะมีการเรียนแบบเป็นขั้นเป็นตอน ในช่วงแรกจะเป็นการเรียนในแนวของความเข้าใจด้านจำนวน ผ่านแบบฝึกหัดต่าง ๆ รวมถึงตัวเลขสัมพันธ์ มีการเรียนมิติสัมพันธ์ เพื่อเสริมสร้างจินตภาพ ต่อมาเป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิดให้เป็นขั้นเป็นตอนผ่านการวิเคราะห์โจทย์ ซึ่งเป็นการพัฒนากระบวนการคิดเพื่อให้เด็กได้ฝึกความอดทน สมาธิการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
May 09
จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เลขาฯมูลนิธิชัยพัฒนา ระบุ มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ควรศึกษาต่อยอดโครงการพระราชดำริที่มีอยู่ ใกล้พื้นที่ใดก็เข้าไปที่จุดนั้น หากจัดระบบให้ดี นักศึกษาจะเป็นพลังมหาศาลในการช่วยเหลือชุมชนทั่วประเทศ…
จาก การระดมความคิดเห็นแนวทางเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยกับชุมชน โดยมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ซึ่งมีผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ตัวแทนภาคเอกชน กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศึกษาดูงานที่อ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี นั้น
ทาง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า ขณะนี้มหาวิทยาลัยสอนหนังสือแต่ในห้องเรียน ขณะที่เรามีศูนย์ศึกษาธรรมชาติตามแนวพระราชดำริเกือบครบทุก จังหวัด หากมหาวิทยาลัยนำนักศึกษาเข้าหาชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยที่คณะใดมีความเชี่ยวชาญด้านใด ก็ลงไปช่วยเหลือชุมชนด้านนั้น ขณะนี้เรามีนักศึกษาหลายแสนคน หากจัดระบบให้ดี จะเป็นพลังมหาศาล นอกจากนี้ หลายมหาวิทยาลัยต้องการจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้โครงการพระราชดำริ โดยมีม.แม่โจ้และนิด้า เริ่มทำ แต่ต้องใช้เวลาหลายปี ซึ่งตนเห็นว่ามหาวิทยาลัยควรศึกษาต่อยอดโครงการพระราชดำริที่มี อยู่ ใกล้พื้นที่ใดก็เข้าไปที่จุดนั้น สุดท้ายจะถึงจุดอิ่มตัว ที่สามารถจัดตั้งเป็นหลักสูตรประจำได้
ด้านดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการวิทยาลัยชุมชน กล่าวว่า นักศึกษาวิทยาลัยชุมชนส่วนใหญ่คือคนวัยทำงานในชุมชนนั้น สามารถช่วยเหลืองานมูลนิธิปิดทองหลังพระได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาที่พบคือ ดัชนีชี้วัดเป็นปฏิปักษ์กับหลักสูตรที่ใช้ความรู้ชุมชน โดยเมืองไทยเสพติดตัวชี้วัดอย่างไม่ลืมหูลืมตา เราจำเป็นต้องยกเลิกตัวชี้วัดที่ทำลายวิทยาลัยชุมชน เช่น การกำหนดว่าต้องเรียนในห้องเรียนกี่ชั่วโมงจึงคิดหน่วยกิตให้ หรือผู้สอนต้องมีวุฒิปริญญาโทและเอก จึงเข้าเกณฑ์ประเมิน หากไม่ยกเลิกตัวชี้วัดที่เหลวไหล สังคมไทยจะไม่ได้อะไรเลยจากวิทยาลัยชุมชน ม.ราชภัฏ และม.เทคโนโลยีราชมงคล
ขณะที่นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่จะเป็นหลักในการช่วยเหลืองานด้าน พัฒนาชุมชนคือนายอำเภอ แต่ไม่สามารถทำงานเต็มตัวได้ คนที่เหมาะสมน่าจะเป็นปลัดอำเภอ ที่ทำงานร่วมกับปศุสัตว์จังหวัด พัฒนากรจังหวัด แต่ปัญหาที่พบคือ ข้อจำกัดของภารกิจดังกล่าว ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดในการประเมินผลงานข้าราชการ หากกำหนดชัดเจน จะเป็นการเปิดช่องให้หน่วยงานคัดเลือกคนที่เหมาะสมลงไปทำงาน ได้คล่องตัวมากขึ้น
ส่วนศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และประธานมูลนิธิปิดทองหลังพระ กล่าวว่า ตนทราบดีถึงข้อจำกัดของคนทำงานดังกล่าว และจะหารือกับนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ซึ่งกพร.ก็เข้าใจดีถึงเงื่อนไขดังกล่าวและพยายามหาทางแก้ไข อยู่
May 04
Posted by malinee on Wednesday May 4, 2011 Under ข่าวการศึกษา
จากเดลินิวส์ออนไลน์
วันพุธ ที่ 04 พฤษภาคม 2554
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนงบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2555-2561) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประสบความสำเร็จ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ กรอบวงเงินงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาฯ ในปี 2555 ตามนโยบายเร่งด่วน 10 ประการ จำนวน 15,839.956 ล้านบาท และแผนงบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาฯ ในปี 2555-2561 จำนวน 371,598.379 ล้านบาท ทั้งนี้การที่ ครม.ได้ให้ความเห็นชอบอนุมัติงบฯ ดังกล่าว จะเป็นหลักประกันว่าการปฏิรูปการศึกษาฯ ต้องเดินหน้าต่อไป โดยได้มีการวางระบบไว้ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แผนงบฯ บุคลากร และการบริหารจัดการ
รมว.ศธ. กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบในหลักการเรื่องการขอรับจัดสรรงบฯเพิ่ม เพื่อปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย สำหรับปีงบฯ 2554 งบฯกลาง รวม 572.12 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. อนุมัติวงเงินเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยเงินงบฯ ของสถาบันอุดมศึกษา ที่เป็นส่วนราชการและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ในอัตรา 5% ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย. 54 จำนวน 397.21 ล้านบาท แบ่งเป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 14 แห่ง จำนวน 239.66 ล้านบาท มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ 15 แห่ง จำนวน 102.02 ล้านบาท มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) 50 แห่ง จำนวน 55.53 ล้านบาท และ 2. อนุมัติวงเงินเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ่ายค่าตอบแทนด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ ในอัตรา 5% ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย. 54 จำนวน 174.91 ล้านบาท แบ่งเป็น มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ 15 แห่ง จำนวน 93.03 ล้านบาท มรภ. และ มทร. 50 แห่ง จำนวน 81.88 ล้านบาท นอกจากนี้ตนยังได้เสนอแต่งตั้ง นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ศธ. ด้วย.