Jan 30
Posted by malinee on Wednesday Jan 30, 2013 Under เกร็ดความรู้
จากที่ได้กล่าวมาในตอนที่แล้วว่า แนวทางหรือนโยบายของโรงเรียนแต่ละโรงเรียนนั้นมีความชัดเจน แต่ตัวพ่อแม่ ผู้ปกครองเอง ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของแนวทางของการเรียนมากนัก ซึ่งปัจจุบันนี้แนวทางของโรงเรียนทางเลือกในบ้านเรามีมากมาย ซึ่งมีแนวทางต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
โรงเรียนในแนว Waldorft แนวการเรียนรู้นี้ มุ่งเน้นการเรียนแบบวนกลับแต่มีความรู้เชิงลึกมากขึ้น (An Ascending Spiral of Knowledge)
การเรียนการสอนในแนว วอล์ดอร์ฟ จะแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ละ 7 ปีโดยจะประกอบด้วย 3 ช่วง
– ช่วงแรกหรือช่วงก่อนวัยเรียน มีแนวคิดว่าจำนวนและตัวเลขไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญกับเด็ก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรู้คุณค่าของตัวเอง ความภูมิใจในตัวเอง ส่วนการเรียนรู้เรื่องตัวเลขหรือสิ่งต่าง ๆ จะผ่านมาทางประสาทสัมผัสและจากประสบการณ์จริง จึงมุ่งเน้นที่งานศิลปะ ดนตรี และกิจกรรมต่าง ๆ ที่สัมผัสได้จริง
– ช่วงที่สอง เป็นช่วงปฐมวัย มุ่งเน้นที่การพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์ และทักษะของการอยู่ร่วมกันในสังคม และยังเป็นข่วงวัยที่มีการกระตุ้นทั้งเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ควบคู่กับการคิดวิเคราะห์ การเขียนจะเป็นการเรียนผ่านการวาด การระบายสี ส่วนวิทยาศาสตร์ จะเป็นการสอนถึงธรรมชาติรอบตัว โดยในแต่ละวิชาจะมีการเชื่อมโยงกันด้วยศิลปะ
– ช่วงที่สาม มุ่งเน้นทางด้านวิชาการ กระบวนการคิดที่เป็นขั้นเป็นตอน
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น เราจะพบว่า แนวทางการเรียนการสอนของระบบชัดเจน เพียงแต่ว่าสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องพิจารณาคือ ความต่อเนื่องของโรงเรียนในบ้านเราว่ามีความต่อเนื่องถึงวัยใด และนโยบายที่วางไว้ครูผู้สอน มีศักยภาพ ความทุ่มเท มากน้อยเพียงใด
ครูจา
Jan 22
การเลือกโรงเรียนให้กับบุตร หลานนั้น เราควรศึกษาแนวทางในแต่ละโรงเรียนให้แจ่มชัด เนื่องจากการเรียนการสอนของโรงเรียนแต่ละแห่งก็จะมีความชัดเจนอยู่แล้ว หลาย ๆ ครอบครัวไม่ได้วางแผนการศึกษาตั้งแต่อนุบาล ส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียนที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อย และเลือกโรงเรียนที่คิดว่าทำให้บุตรหลานมีความสุขเมื่อไปโรงเรียน ซึ่งแนวคิดนี้คงไม่มีใครคัดค้านว่าเป็นความคิดที่ไม่ดี ต่อเมื่อเด็กโตขึ้นจนเรียนจบอนุบาล ต้องย้ายโรงเรียน ชีวิตที่เคยมีความสุข ไม่ได้เร่งเรียนแต่อย่างใด กลับเป็นการเรียนแบบเร่งรัดจนตั้งตัวไม่ติด หลาย ๆ คนต้องใช้เวลา 1 เทอม หรือ 1 ปี เพื่อปรับกระบวนการเรียนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ แต่หลาย ๆ คนอาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น ดังนั้น เราควรเก็บข้อมูล และวางแผนการเรียนให้กับบุตรหลาน ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปฐมวัย เนื่องจากแนวการศึกษาในระดับมัธยมไม่มีทางเลือกที่มากมายเท่ากับอนุบาล และประถม
คราวนี้ เรามาดูว่าโรงเรียนทางเลือกในประเทศไทย ณ ปัจจุบันมีแนวทางหลัก ๆ อยู่ 2 แนวทาง ซึ่งได้แก่
- โรงเรียนในแนวบูรณาการ ซึ่งก็จะมีแบบย่อย ๆ ออกเป็นแขนงต่าง ๆ มากมาย โดยที่โรงเรียนแนวนี้จะไม่เร่งให้เด็กเขียนอ่าน จะใช้กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาผู้เรียน เป็นแนวของการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็ก เน้นตัวผู้เรียนเป็นแกนกลาง (ตามนิยาม)
- โรงเรียนในแนวเร่งเรียน เป็นโรงเรียนที่เน้นการเขียน อ่าน ให้กับเด็ก การเรียนแนวนี้เป็นการเรียนที่เน้นหลักสูตรเป็นแกนกลาง
จากแนวทางของการเลือกหลักสูตรของโรงเรียนแต่ละแห่ง ก็พอจะชี้ให้เห็นว่า หากเด็กที่เรียนอนุบาลจากโรงเรียนที่เร่งเรียน แล้วไปต่อประถมในโรงเรียนแบบบูรณาการ เรามักไม่พบปัญหากับตัวเด็กเท่ากับเด็กที่เรียนในแนวบูรณาการ แล้วย้ายไปอยู่ในโรงเรียนที่เร่งเรียน ปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือ จำนวนของโรงเรียนทางเลือกที่เป็นแนวบูรณาการในช่วงอนุบาลมีมากกว่าโรงเรียนในแนวเดียวกันในช่วงของประถมศึกษาเป็นจำนวนมาก และพ่อแม่ผู้ปกครองพิจารณาแต่ว่า อยากให้เจ้าตัวน้อยเรียนรู้อย่างมีความสุข หากความสุขนั้นยาวนานตลอดของการเรียนจนถึงบัณฑิตก็จะดีไม่น้อย
Jan 17
Posted by malinee on Thursday Jan 17, 2013 Under เกร็ดความรู้
ในช่วงปลายของแต่ละปีการศึกษา ก็จะมีการสอบเข้า หรือสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้า ป.1 หรือ การสอบเข้า ม. 1 แต่การที่คุณพ่อ คุณแม่จะสมัครสอบในโรงเรียนใด ก็ควรจะศึกษา ทำความเข้าใจกับการเลือกโรงเรียนในแต่ละแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้าตัวน้อยที่พร้อมที่จะเติบโตในสังคมของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
จากวิวัฒนาการของโลกไร้พรมแดน ซึ่งมีผลทำให้การติดต่อสื่อสาร การคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการโอนถ่ายทั้งสินค้า และบริการกันอย่างกว้างขวาง การศึกษาจึงมีทางเลือก หรือมีความหลายหลายมากขึ้นกว่าอดีตมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองควรจะให้ความสำคัญกับการเลือกโรงเรียนในข่วงปฐมวัยให้มีความเหมาะสมกับบุตรหลาน เพื่อความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย และเวลาให้มากที่สุด ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ว่า แนวการเรียนนี้เหมาะกับใครได้เท่ากับ การสังเกตดูพฤติกรรมการเล่นของลูกตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หลาย ๆ คนอาจคิดว่าการเลือกโรงเรียนให้กับลูกไม่ได้มีผลอะไรกับการเรียนรู้ของเด็ก แต่ในความเป็นจริงนั้น เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่นเด็กบางคนเหมาะกับการเรียนผ่านการเล่น ซึ่งเค้ามักเรียนรู้ช้าหากอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบังคับ แต่เด็กหลายคนก็สามารถทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ทำได้ โดยไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ หรือเครียด ด้วยเหตุนี้อาจทำให้เด็กหลาย ๆ คน เรียนในโรงเรียนที่พ่อแม่ต้องการให้เรียน มากกว่าความเหมาะสมของการเรียนรู้ของเขา จึงทำให้เมื่อโตขึ้นอาจเกิดการสะสมปัญหาของการเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อย
ครูจา
Jan 02
Posted by malinee on Wednesday Jan 2, 2013 Under เกร็ดความรู้
คราวนี้เราก็พอมองภาพกว้าง ๆ ออกแล้วว่า เราไม่ควรให้ความสนใจ หรือพัฒนาทักษะ หรืออัจฉริยภาพในด้านเดียว แต่ควรให้เด็กมีการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันทุกาน คราวนี้มาดูว่าอีก 2 Q ที่เหลือจะหมายถึงอะไร และมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร
ความฉลาดทางสังคม (SQ) ซึ่งนักจิตวิทยาหลาย ๆ ท่านให้คำจำกัดความว่า เป็นการที่บุคคลสามารถเจรจา ต่อรอง ในสภาวะต่าง ๆ หรือความเข้าใจในภาวะต่าง ๆ และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างฉลาด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ทดสอบด้าน SQ ที่ได้คะแนนมากกว่าจะมีความฉลาดทางสังคมมากกว่า เพียงแต่คนแต่ละกลุ่มก็จะมีความเชื่อ ความมุ่งมั่น ความสนใจ ความหวังและทัศนคติที่แตกต่างกันเท่านั้น
แต่ในทางกลับกันหากเด็กไม่ได้ถูกฝึกให้มีทักษะในการเข้าสังคม เมื่อเขาต้องเข้าสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น ก็อาจจะทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกอึดอัด ขัดข้องได้ หากเขารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น มันอาจเป็นแรงกระตุ้นให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่หากเขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ (นั่นก็คือ ทัศนคติที่แตกต่างกันนั่นเอง) เขาก็ไม่เดือดร้อนที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ MQ คือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การมีน้ำใจ ความเข้าใจผู้อื่น การรู้จักแยกแยะดีชั่ว สิ่งเหล่านี้หลาย ๆ คนมักคิดว่าเป็นเรื่องที่สอนยาก แต่จริง ๆ แล้วเด็ก ๆ เรียนรู้จากการเห็นตัวอย่างที่พ่อแม่เป็นผู้กระทำ และเด็ก ๆ จะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้ ได้สัมผัส เป็นสิ่งที่เขาแสดงออกมา MQ เป็นสิ่งที่มีผลต่อสังคมมากที่สุด นั่นคือ หากเด็กถูกปลูกฝัง ให้รู้จักความดี ความชั่ว บาป บุญ คุณ และโทษ สังคมก็จะน่าอยู่ แต่ถ้าเด็กถูกสอนให้รู้จักแต่เอาชนะไม่ว่าจะด้วยวิธีที่บริสุทธิ์ หรือไม่ การอยู่ร่วมกันในสังคมก็ไม่น่าอยู่เสียแล้ว
สุดท้ายเราคงต้องฝากอนาคตของชาติ สังคมไทย ที่อยู่ในมือของพ่อแม่ ผู้ปกครองว่าจะทำให้สังคมผันแปรไปในทิศทางใด หรือ อยากให้ลูกหลานเติบโตในสังคมแบบใด
ครูจา