Jan 12
สถานการณ์ที่ยังคลุมเคลือ หลายๆ คนที่ยังต้องทำงานนอกบ้าน ส่งบุตรหลานไปโรงเรียน ก็มักจะมีคำถามในใจขึ้นทุกวัน ว่าเราจะติดโควิดมั้ย ครูมีข้อมูลมาฝากให้ เผื่อคลายความกังวลได้บ้าง
ช่วงนี้เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสายพันธุ์ของไวรัส ได้เปลี่ยนไปเป็นสายพันธุ์โอมิครอน มาดูความแตกต่างของสายพันธุ์กัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรากับ 2 สายพันธุ์นี้หลักๆ อยู่ที่เรื่องของระยะฟักตัว
ระยะฟักตัว คือระยะที่เราได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นระยะที่จะทำให้เกิดอาการ (ถ้ากรณีที่ติดเชื้อ) และเป็นระยะที่ต้องกักตัวเพื่อเฝ้าระวัง ถ้าพ้นระยะฟักตัวแล้วผลตรวจเป็นลบ แสดงว่าไม่ติดเชื้อ
ระยะฟักตัวของโควิดสายพันธุ์ต่างๆ
อู่ฮั่น 5 – 6 วัน อาการ 10 วันหลังรับเชื้อ
เดลต้า มีระยะฟักตัว 4 วัน อาการ 7 วันหลังรับเชื้อ
โอมิครอน มีระยะฟักตัว 3 วัน อาการ 5 วันหลังรับเชื้อ
แต่ก่อนจะมีอาการผู้ที่รับเชื้อมาแล้วสามารถกระจายเชื้อได้ 1 – 2 วันก่อนเกิดอาการ หรือบางรายอาจไม่เกิดอาการก็ได้
สิ่งที่ต้องเฝ้าติดตามคือ ข่าวสารของการเกิดการรวมตัวของสายพันธุ์เดิม เช่น ที่ไซปรัสที่เกิดเคสผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ร่วมระหว่างเดลต้าและโอมิครอน ที่เรียกว่า “Deltacron” แต่อยู่ในช่วงของการศึกษาว่าจะสามารถแพร่กระจายได้หรือไม่ และอีกเคสที่พบในอิสราเอล 1 เคสในผู้ป่วยตั้งครรภ์ ที่ไม่ได้รับวัคซีน เป็นสายพันธุ์ “Flurona” ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมระหว่างไข้หวัด (ประจำฤดู)กับโควิด หากมีการแปรผันของสายพันธุ์ไปเรื่อยๆ วัคซีนน่าจะไม่ใช่คำตอบของโจทย์ข้อนี้ แต่เป็นการตั้งการ์ดของเราทุกๆ คน เพื่อให้เราอยู่กับมันได้อย่างปลอดภัย
สุดท้ายขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงและปลอดภัยนะคะ
ครูจา
แหล่งที่มา
Jun 07
เสาร อาทิตย์นี้แล้ว ที่เด็กๆ จะต้องสอบคัดเลือกเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ4 หลังจากการถูกเลื่อนการสอบกันมาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเด็กๆหลายคนมีการเตรียมพร้อมกันมาเป็นเวลานาน เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคCOVID19 จึงทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงชั่วขณะ เด็กหลายๆ คน ถ้าทางบ้านมีเวลาดูแลเอาใจใส่ก็ยังอาจมีเวลาในการทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมตัวตลอดเวลา แต่หลายๆ ครอบครัว มิได้เป็นเช่นนั้น เด็กๆ เนื่องจากความเป็นเด็ก ก็จะไม่เลือกที่จะหยิบจับหนังสืออยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหาวิธีในการแก้ปัญหา โดยการให้บุตรหลานเรียนออนไลน์ ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้ในสถานการณ์ช่วงนี้แต่ การเรียนนั้นเป็นการทบทวนบทเรียนวิธีหนึ่ง แต่การเรียนนั้นอย่างมากก็ทำได้วันละไม่เกิน2 ชัวโมง หลังจากการเรียน ไม่ว่าจะเป็นนการเรียนวิชาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนคณิตศาสตร์ หากไม่ทบทวนหรือเริ่มกระบวนการคิดด้วยตนเอง ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
การเรียนคณิตศาสตร์นั้น เป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา ในระหว่างการเรียน ถ้าเป็นเรื่องใหม่ๆ การเรียน เราจำเป็นจะต้องวิเคราะห์ไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และมีการให้แบบฝึกหัดเพื่อทบทวนบทเรียน เพื่อฝึกกระบวนการคิดอย่าเป็นระบบ และเมื่อเรียนในครั้งต่อไปจะสามารถต่อยอดไปเรื่องใหม่ได้ แต่เด็กๆ ส่วนใหญ่ เมื่อเรียนจบคือทิ้ง ไม่ทวน แล้วเวลาเรียนก็กลายเป็นว่าต้องเริ่มใหม่ทุกครั้ง ไม่พยายามคิดด้วยตัวเอง ไม่เริ่มที่จะคิด บ่มเพราะจนกลายเป็นนิสัยเป็นเด็กเฉื่อย ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่มีความพยายาม ไม่คิดที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้กลายเป็นว่าต้องมีคนป้อน ต้องมีคนสอน ไม่สามารถอ่านหนังสือหรือทบทวนเนื้อหาบทเรียนได้ด้วยตนเอง ลองสังเกตบุตรหลานของตัวเองว่่า คุณให้เขาเรียนแล้วเขาได้เคยนำบทเรียนมาทบทวนหรือไม่ หรือ ให้เรียนทุกวันจนทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเรียน แล้วหลังจาการเรียนที่เหนื่อยล้าคือเวลาที่เป็นเวลาที่จะต้องพักสะทีและการพักของเด็กก้อไม่พ้นการเล่นเกม..
#เรียนเยอะไม่แปลว่าเก่ง
#เรียนแล้วเก็บไม่ทวนไม่แปลว่าทำได้
#เป็นกำลังให้เด็กทุกคน
#สถาบันคิดสแควร์
Jun 23
หลายๆ
คนคงทราบว่ากระแสของเด็กในปัจจุบันจะเป็นเด็กพิเศษกันเพิ่มขึ้น หลายๆ
ครอบครัวก็มักระแวงว่าบุตรหลานของตนเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าวหรือไม่ บุตรหลานของเราเป็นเด็กเรียนรู้ช้าหรือทำไมเขามีพัฒนาการหรือการเรียนรู้ที่ช้ากว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน
แต่ก็มีอีกหลายๆ ครอบครัวไม่ยอมรับว่าบุตรหลานของตนเป็นเด็กพิเศษ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่หล่อหลอมเด็กแต่ละคนเติบโตมา
มีปัจจัยและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ปัจจัยต่างๆ
ที่เกิดขึ้นตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เพราะเป็นช่วงที่ลูกอยู่ในท้องนั้น
จะมีการแบ่งเซลล์เพื่อพัฒนาเป็นอวัยวะต่างๆ ตลอดระยะเวลา 40 สัปดาห์
หากมีสิ่งที่มีผลมากระทบต่อแม่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ย่อมมีผลต่อต่อลูกที่เชื่อมโยงกันแน่นอน หลังจากที่เขาลืมตา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการดูแลเอาใจใส่ต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระตุ้นการพัฒนาทั้งสมอง
ร่างกาย และจิตใจของเด็กแต่ละคน
ช่วง 3 ขวบปีแรก เป็นช่วงที่เด็กต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
ให้ได้ทำงานอย่างสมบูรณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และการเข้าสังคม
ให้เข้าโรงเรียน หลังจากนั้นเป็นวัยที่เด็กเข้าเรียนในชั้นอนุบาล
หากเด็กถูกฝึกทักษะทางด้านกล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้ว
เด็กจะพร้อมในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่เด็กหลายๆ ครอบครัวไม่ได้ใช้ช่วงเวลาใน 3
ขวบปีแรกเสริมพัฒนาการให้กับบุตรหลาน ทำให้เขามีพัฒนาการช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้เขาเกิดความไม่มั่นใจ
ไม่กล้าแสดงออก บ่มเพาะจนกลายเป็นนิสัยที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง จริงอยู่เด็กแต่ละคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน
และเด็กทุกคนต้องมีลักษณะเด่นหรือความชอบด้านด้านหนึ่ง
ซึ่งเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะต้องคอยกระตุ้นความเชื่อมั่น หรือพยายามส่งเสริมกิจกรรมที่เพิ่มศักยภาพให้เขาได้เรียนรู้ได้ใกล้เคียงกับเด็กในรุ่นเดียวกัน
อย่าปล่อยให้เค้ารู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องที่น่าเบื่อตั้งแต่เล็กๆ หมั่นสอบถามครูประจำชั้นถึงพัฒนาการด้านการเรียนในชั้นเรียนของเขา
อย่ายอมรับในทุกๆ เรื่องว่ามันคือ นิสัยของลูกเรา ทั้งๆ
ที่จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่เราสร้างปัจจัยที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น อย่ายอมรับอะไรง่ายๆ
โดยที่ยังไม่ได้เริ่มที่จะคิดแก้ไขอะไรเลย………
Jun 16
ครอบครัวในปัจจุบันเป็นครอบครัวที่มีลูกโทนเป็นส่วนใหญ่
พ่อแม่ผู้ปกครองจึงสรรหาทุกอย่างที่ดีที่สุดเพื่อให้บุตรหลานได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
ทุ่มเทความรัก ความเอาใจใส่ ความปรารถนาดี คัดสรรสิ่งที่ตนคิดว่าเหมาะสมที่สุดให้กับเขา
จัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้เขาได้รับความลำบากน้อยที่สุด
ในวัยที่เขาเข้าสู่วัยแห่งการเรียนรู้
หลายๆ ครอบครัวนอกจากจะเลือกโรงเรียนให้กับบุตรหลานแล้ว ยังส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ
เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะการแสดง เพื่อให้เขาได้มีทางเลือกอื่นนอกจากการเรียนพิเศษด้านวิชาการ
เด็กหลายๆ คนเรียนด้วยความสนุกสนาน แต่ก็มีเด็กอีกหลายคนที่เรียนทั้งน้ำตา
เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับวิชาการที่อัดแน่นและกิจกรรมที่พ่อแม่จัดให้ในวันหยุด จนในที่สุดเด็กจะฝืนทำโดยที่ไม่มีความตั้งใจ
ไม่เอาใจใส่กับสิ่งที่ทำจนกลายเป็นนิสัย พ่อแม่ส่งให้เรียนอะไร ก็เรียน ไม่ขัดข้อง
แต่ไม่มีความตั้งใจ ซ้ำร้ายบางครอบครัวถึงกับต้องมีข้อแลกเปลี่ยนว่าถ้าทำสิ่งนี้จะได้สิ่งนั้นเป็นการตอบแทน
มันกลายเป็นว่าเด็กทำทุกอย่างเพื่อหวังผลตอบแทน โดยที่ไม่ได้มองถึงประโยชน์หรือความปรารถนาดีที่พ่อแม่พยายามปูทางให้ตนเองในอนาคตในเวลาที่เค้าต้องอยู่ด้วยตนเอง
จริงอยู่ในวัยเด็ก
พ่อแม่ต้องเลือกที่เรียน และกิจกรรมให้กับบุตรหลาน
แต่ควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย อย่างน้อยให้เค้าได้เข้าไปทดลองเรียน
ให้มีส่วนร่วมว่าเค้าชอบ หรือไม่ชอบ การเรียนในแนวนั้นๆ
พ่อแม่เป็นผู้เลือกแต่ต้องให้เค้ามีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย
เมื่อเขาโตขึ้นให้เขาได้เลือกที่เรียนหรือกิจกรรมที่เรียนด้วยตัวเอง
ไม่ใช่พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด แล้วให้เขามีหน้าที่เป็นเพียงผู้ทำตาม
มิฉะนั้น หากถามว่าอนาคตเขาอยากเป็นอะไร เราจะได้คำตอบว่า ต้องถามพ่อกับแม่
เพราะเขาไม่เคยวางแผนในอนาคต หรือตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย ลองนึกดูว่า
ถ้าวันนึงคุณจากโลกนี้ไป โดยที่เขาเป็นลูกโทน เขาจะมีใครเป็นคนเลือกทางให้เขา
ในเมื่อคุณเป็นคนเลือกทางให้เขาตั้งแต่เกิดจนคุณจากไป โดยเขาไม่เคยมีทางเลือกของเขาเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว……
Mar 25
คณิตศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่เป็นยาขม
อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ปกครองเองในวัยที่ตนเองเป็นเด็กก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
หากมาพิจารณาคณิตศาสตร์ในแต่ละช่วงวัย
เราก็สามารถจะแก้ปัญหาให้กับบุตรหลานได้อย่างถูกจุดได้อย่างไม่ยากนัก เรามาดูวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในแต่ละช่วงวัยจะได้ส่งเสริมทักษะและพัฒนาการได้อย่างถูกต้องดังนี้
-เด็กในวัยอนุบาล
เป็นช่วงที่เรียนรู้คณิตศาสตร์ให้เชื่อมโยงหน้าตา (ภาษาๆ ใหม่ของเด็กๆ) กับจำนวน และต่อยอดไปในเรื่องของค่าที่มากกว่า น้อยกว่า
การนับเพิ่ม นับลด ซึ่งใช้เวลา 3 ปี เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กไปพร้อมๆ
กับการใช้กล้ามเนื้อมือให้สัมพันธ์กับตาด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดในวัยนี้
คือทัศนคติกับการเรียน ครูผู้สอนมีผลที่สุดกับทัศนคติในการเรียนของเด็ก
-เด็กในวัยประถมต้น
สิ่งที่จำเป็นในวัยนี้ จะเป็นเรื่องของปฏิบัติการทางคณิตศาสตร์ การบวก ลบ คูณ หาร
เด็กๆ จะต้องมีการเรียนรู้เรื่องค่าประจำหลัก เพื่อให้เข้าใจการทดเลขเมื่อบวกเกิน
หรือการลบเลขแบบขอยืม ฝึกทักษะของการบวก ลบ จนคล่อง
ต่อจากนั้นควรเข้าใจถึงทฤษฏีพื้นฐานของการคูณ การหาร ซึ่งการท่องสูตรคูณ
ถือเป็นเรื่องที่สำคัญในช่วงนี้ (ทางบ้านต้องมีส่วนช่วยในการส่งเสริมผลักดันให้เด็กท่องสูตรคูณให้ได้)
-เด็กในวัยประถมปลาย
จะมีการเรียนรู้ลำดับขั้นปฏิบัติการทางคณิตศาสตร์ เศษส่วน ทศนิยม ร้อยละ เรขาคณิต และการแก้สมการ
(ในชั้น ป.6) ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ๆ ที่เด็กๆ จะต้องใช้ทั้งความเข้าใจและความจำ(สูตร)ต่างๆ
รวมไปถึงการประยุกต์การแก้ไขปัญหาโจทย์ปัญหาที่มีการรวมเนื้อหาหลายๆ เรื่องให้เด็กๆ
ได้รู้จักการประยุกต์ใช้ความรู้พื้นฐานได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่สำคัญในวัยนี้
จะเป็นเรื่องของความเข้าใจพื้นฐานที่ถูกต้องแม่นยำ ร่วมกับการตีความโจทย์ปัญหาให้ถูกต้อง
-เด็กในวัยมัธยม
การเรียนคณิตศาสตร์ในช่วงวัยนี้จะเรียนในแบบที่ใช้ความรู้เดิมไม่เกิน 30% และจะเป็นความรู้ในแนวศาสตร์จริงๆ (Pure Mate) เด็กหลายๆ คนที่ไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์มักเกิดคำถามขึ้นว่าทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ในช่วงวัยนี้เสมอ
เนื่องจากการเรียนไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเลย แต่ในการเรียนคณิตศาสตร์ระดับนี้เป็นการเรียนที่ต้องใช้ในการต่อยอดเพื่อใช้ในวิชาวิทยาศาสตร์ต่อด้วย
ดังนั้น
ปัญหาการเรียนคณิตศาสตร์ในแต่ละวัยของเด็กๆ นั้น
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองตามติดการเรียนของบุตรหลาน
ก็จะได้แก้ปัญหาการเรียนคณิตศาสตร์ให้กับบุตรหลานได้อย่างทันท่วงที และถูกจุด
เนื่องจากผู้ปกครองหลายๆ คนที่มีบุตรหลานอยู่ในประถมปลายซึ่งมีปัญหาทางคณิตศาสตร์
มักคิดว่าปัญหาเกิดจากการคิดคำนวณ ซึ่งจากที่กล่าวมาข้างต้นปัญหาของเด็กประถมปลายเกิดจากการวิเคราะห์โจทย์
โดยที่การวิเคราะห์โจทย์ผิดพลาด ส่งผลให้การคำนวณพลาดไปด้วย
ซึ่งการคำนวณพลาดเป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น
ดังนั้นปัญหาคณิตศาสตร์แต่ละช่วงวัยควรแก้ไขให้ถูกจุด เพื่อให้เด็กได้เรียนคณิตศาสตร์ได้อย่างมีเข้าใจ
Mar 17
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีระดับการศึกษาดีอยู่ในระดับ
1 ใน 10 ของโลก นอกจากนี้สิงคโปร์ยังเป็นอันดับ 1 ในการสอบวัดผล PISA ใน 75
ประเทศทั่วโลกซึ่งจัดทำโดยองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OCED)
เพื่อประเมินผลการเรียนด้านคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
ผลการจัดอันดับการศึกษาที่ดีของสิงคโปร์มิใช่ได้มาจากความบังเอิญ
แต่เกิดจากปัจจัยหลายด้าน ซึ่งรวมถึงพนักงานของภาครัฐที่ต้องได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก
และมีภารกิจที่ชัดเจนเพื่อพลิกโฉมสิงคโปร์ให้มีการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก
เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก
นอกจากนี้แล้วยังทุ่มงบประมาณ 20% ของงบประมาณภาครัฐทั้งหมด
เพื่อทุ่มให้กับระบบการศึกษา บุคคลากรครูมีคุณภาพสูง
บุคคลากรทางการศึกษามีอัตราเงินเดือนเทียบเท่ากับอัตราเงินเดือนในภาคอุตสาหกรรม
และการเงิน ซึ่งดึงดูดให้บัณฑิตที่มีคุณภาพสนใจทำงานด้านนี้
หลายๆ
คนคงไม่เคยรู้ว่าครั้งหนึ่งสิงคโปร์เคยเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในเอเชีย หลังจากปี
ค.ศ. 1965 ที่สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากมาเลเซีย
มีเพียงชนชั้นนำเท่านั้นที่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา ประชากรครึ่งหนึ่งไม่รู้หนังสือ
อีกทั้งสิงคโปร์เป็นประเทศที่ขาดทรัพยากรทางธรรมชาติ สิ่งที่รัฐบาลทำได้ คือการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพโดยการให้การศึกษา
สิงคโปร์จึงมีรัฐบาลอำนาจนิยมที่จำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐานบางอย่าง
หนึ่งในนั้นคือการเชื่อฟัง เป็นการรับประกันความปลอดภัยและการอยู่ดีกินดี
ซึ่งปรัชญานี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบการศึกษาของสิงคโปร์ ซึ่งสาเหตุต่างๆ
เหล่านี้ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง อยากให้บุตรหลานได้เรียนในโรงเรียนดีๆ
ซึ่งมีการแข่งขันสูง ทำให้เด็กต้องเรียนเสริมจนเวลาในวัยเด็กหายไป ขาดความสุข
เกิดความเครียด โดยรัฐบาลสิงคโปร์เล็งเห็นว่าการเรียนการสอนที่มีการแข่งขันสูงส่งผลให้เด็กขาดความสุข
เกิดโรคซึมเศร้ามากขึ้น และที่รุนแรงที่สุดคือการฆ่าตัวตาย
ปัจจุบันนักเรียนชั้นประถมปีที่
1 ไม่มีการสอบวัดระดับแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์ยังประกาศว่าในปี 2019
เป็นต้นไปจะยกเลิกการสอบทั้งกลางภาคและปลายภาคของนักเรียนชั้น ป.2 และนักเรียนชั้น
ป.3,
ป.5,ม.1 และ ม.3 จะยกเลิกการสอบกลางภาคเท่านั้น
ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์
นายอ่อง เย กัง (Ong Ye Kung) กล่าวว่าการยกเลิกการสอบในระดับประถมนั้นเพื่อรักษาความสมดุลในการเรียนรู้ของเด็กๆ
และลดความกดดันในการแข่งขันลง
แต่สัมฤทธิผลของการศึกษาก็จะเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนจะเป็นผู้ประเมินและรายงาน
โดยรวมแนววิธีการศึกษาบ้านเราใกล้เคียงกับประเทศสิงคโปร์มาก สิ่งที่แตกต่างกันคือ เราไม่เคยติด 1
ใน 10 เหมือนสิงคโปร์ รัฐบาลของเราไม่เคยมีชุดไหนที่ทำเพื่อประเทศชาติอย่างจริงจัง
ครูไม่ใช่อาชีพที่ 1 ที่เมื่อเด็กโตขึ้นแล้วอยากเป็น และที่สำคัญที่สุดคือ
พ่อแม่มีหน้าที่เพียงแค่หาเงินมาเพื่อซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับตนเองและลูก
โดยไม่ได้สอนให้เค้ามีจิตสำนึก ไม่ได้สอนให้รู้จักหน้าที่ เด็กทุกวันนี้
หากมีใครถามเขาว่า หนูเรียนหนังสือเพื่ออะไร อาจจะไม่ได้ตอบกลับมา ดังนั้นหากจะเอาใครเป็นต้นแบบ ต้องศึกษาให้รอบคอบและปรับให้เหมาะสมกับลักษณะนิสัยของเรา
ใช่ว่าเห็นช้างขี้แล้วจะขึ้ตามช้างได้
Dec 02
ในปัจจุบันที่ครอบครัวส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวที่มีลูกคนเดียว จึงทำให้ความทุ่มเทและคาดหวังตกอยู่กับลูกโทน เป็นเหตุให้เมื่อบุตรหลานเข้าสู่วัยเรียน จึงทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองพิถีพิถันในการเลือกโรงเรียนให้กับบุตรหลาน
หลายๆ ครอบครัวที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบการศึกษาของบ้านเรา ก็จะรับรู้ว่า ระบบการศึกษาไทยมีปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องบุคลากรที่ผ่านการสอบคัดเลือกแบบ(ติวข้อสอบข้าราชการ ครูผู้ช่วย) ซึ่งหลังจากที่ได้รับราชการแล้ว ทุกอย่างจบสิ้น ไม่มีการพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อให้ทันกับยุคสมัย แนวการเรียนการสอนที่เด็กนักเรียนจะต้องปรับเข้าหาครู (แทนที่ครูจะหาวิธีสอนที่ทำให้เด็กเข้าใจ) ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นที่มักได้ยินกันเป็นประจำคือ ในชั้นเรียนครูไม่สอน แต่ให้เด็กไปเรียนพิเศษกับครูข้างนอก เมื่อใกล้สอบจะมีการบอกข้อสอบเพื่อให้ได้คะแนนดีๆนอกจากนี้ยังรวมไปถึงหลักสูตรและเนื้อหาการเรียนการสอนที่มีการปรับปรุงทุกๆ ทศวรรษ ซึ่งในปัจจุบันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีแต่หลักสูตรแนวแกนกลางกระทรวงยังคงอยู่ที่ปี 2551 อยู่เลย
หลายๆ ครอบครัวจึงหันเหไปหาโรงเรียนอินเตอร์ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่หลายๆ ครอบครัวที่มีกำลังพอจะส่งเสริม เพราะหวังว่าเด็กได้ภาษาแน่ๆ และเข้าใจว่าโรงเรียนในแนวดังกล่าวจะสอนให้เด็กๆ สามารถคิด วิเคราะห์ได้ดีกว่าเด็กโรงเรียนไทย โดยลืมไปว่าการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมของคนไทยกับต่างชาติแตกต่างกัน เด็กทุกคนจะมีลักษณะนิสัยส่วนตัวซึ่งถูกบ่มเพาะจากทางบ้าน จริงอยู่ที่เด็กอยู่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน (ในวัยเรียน) แต่ครอบครัวได้หล่อหลอมเขาตั้งแต่แรกเกิดจนก่อนเข้าวัยเรียน หากเด็กได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหน ลักษณะนิสัยดังกล่าวก็ยังคงเป็นตัวเขา หากพ่อแม่ผู้ปกครองบ่มเพาะให้เขาหัดเป็นคนช่างสังเกต หรือมีระเบียบวินัย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็จะติดตัวเค้าไปทุกที่ แต่อย่างไรก็ดีโรงเรียนมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ครูมีผลต่อทัศนคติของเด็กในวิชาที่ครูผู้นั้นสอน ดังนั้นทางที่ดี ในส่วนของพ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่ให้บุตรหลานเหมือนไม้ผลัด ที่เรื่องของการเรียนส่งต่อให้โรงเรียนรับผิดชอบเพียงไม้เดียว ส่วนผู้บิรหารโรงเรียนนอกจากจะมีการประเมินการเรียนการสอน ซึ่งคือการประเมินการเรียนของเด็กเพียงด้านเดียว แต่ควรประเมินการสอนของครูผู้สอนด้วย เพื่อเป็นการพัฒนาไปทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่งของทางบ้าน และฝั่งของโรงเรียนไปพร้อมๆ กัน…
May 30
ในสังคมในยุคปัจจุบัน ที่พ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นต้องทำงานพร้อมกับการดูแลบุตรหลานไปพร้อมๆ กัน เมื่อถึงสุดสัปดาห์ก็รู้สึกเหนื่อยล้า หมดแรงที่จะคอยดูแลวิชาการของบุตรหลาน จึงส่งบุตรหลานเรียนในสถาบันต่างๆ ที่ได้เลือกไว้ว่าเหมาะสมกับบุตรหลานของตนเอง
การเรียนตามสถาบันต่างๆ คุณพ่อคุณแม่มักเลือกสถาบันที่มีการเรียนการสอนครบทุกวิชา เพื่อให้เด็กได้เดินทางภายในที่เดียว เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเดินทาง เช่นเด็ยวกับคุณพ่อคุณแม่ น้องๆ ก็ถือว่าตนเองเรียนมาทั้งสัปดาห์แล้ว ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมานั่งอ่านทบทวนสิ่งที่เรียนมา คุณพ่อคุณแม่จึงเห็นว่าการเรียนเสริมเป็นการช่วยทบทวนในสิงที่บุตรหลานได้เรียนมา เพื่อเป็นทางลัดในการอ่านทบทวนของเด็กๆ แต่ในการเรียนการสอนแต่ละวิชานั้น ครูผู้สอนจะมีความถนัดในแต่ละวิชาแตกต่างกัน ยิ่งในวัยที่โตขึ้น ครูในแต่ละวิชายิงจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในการเรียนในแต่ละวิชา จึงควรเรียนในแต่ละสถาบันที่มีความถนัดในแต่ละวิชาจะได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีที่สุด
แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดีที่สุดคือการให้บุตรหลานได้อ่านและทบทวนในสิ่งที่ตนเองได้เรียนมา โดยมีคุณพ่อคุณแม่ ช่วยเสริมและเพื่อการพัฒนาทักษะของการอ่านและการคิดวิเคราะห์