เนื่องจากครูมีโอกาสได้เข้าไป​เป็น​ out source ของโรงเรียนหลาย​ๆ​ แห่ง​ ก็จะได้เห็นวัฒนธรรม​การดูแลเด็กในแต่ละโรงเรียน​ การปฏิบัติ​ต่อผู้ปกครอง​ การให้คำปรึกษา​ การเรียนการสอน​ นโยบาย​ ของแต่ละโรงเรียนที่มีความแตกต่างกัน​
ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้การเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียน​ ทำให้ครูต้องปรับการเรียนการสอนแปรผันตามความพร้อมของเด็ก ไม่ใช่ว่าเด็กมีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน​ แต่เด็กได้รับการฝึกทักษะกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน​
เด็กแต่ละคนมีความเป็นปัจเจก​บุคคล​ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เค้าเติบโตมาตั้งแต่เค้าเกิดมา​ เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่คุยเล่นกัน​ มีอะไรคุยกัน​ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันบนโต๊ะอาหาร​ โดยทิ้งทุกอย่าง​ มีแต่การสนทนากัน​ จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าความของความสุขเกิดขึ้นจริง​ๆ​ บ้านคือบ้าน​ ไม่ว่าเค้้าจะมีปัญหาสักแค่ไหน​ เค้าจะกลับมาตรงนี้​ ตรงที่มีคนฟังเค้า​ ในทางกลับกัน ถ้าเค้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนไม่พูดไม่จากันก้มหน้าก้มตา​ online อยู่กับสิ่งที่ตัวเองสนใจ​ เขาก็จะเติบโตมาแบบไม่ได้รู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์​กับคนรอบข้างเป็นเรื่องปกติ​ กลายเป็นเด็กเก็บตัว​ คุณพ่อคุณแม่จะไม่มีทางได้รับรู้ว่าเค้ามีความสุข​หรือเค้ามีปัญหาเรื่องอะไร​ เพราะเค้าไม่เคยเรียนรู้ที่จะพูดเรื่องอะไรตอนไหน​ ไม่รู้ว่าจะมีใครฟังหรือไม่​ ในบ้านเองเขายังไม่รู้จะพูดกับใครเลย​ มันกลายเป็นการสร้างกำแพงขึ้น​เมื่อเขาโตขึ้น​ เขาไม่ได้ถูกสอนให้เข้ากลุ่ม​เพื่อน​ เพราะคุณเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เค้าได้เรียนรู้การอยู่แบบทางเดียว​คือการสื่อสารผ่าน​ social​ ที่เค้าไม่เคยเห็นเลย
อย่าเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้เค้า​ ก่อน​ เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดของเค้าเพื่อให้เค้าได้เติบโตอย่างมีความสุขไม่ว่าเค้าจะเจออุปสรรค​ใดๆ​ อย่างน้อยคุณยังเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้้เค้ารู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง​ และเป็นกำลังใจให้เค้าได้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง​ ไม่มีโรงเรียนไหนดีเท่าโรงเรียนพ่อแม่หรอก…. เชื่อสิ

Tags : , , , , , , , , , , , , , , | add comments

images (7)            สัปดาห์นี้เรามาคุยกันเรื่องการวางแผนการศึกษาของบุตรหลานกันดีกว่า การศึกษาของบ้านเรา (ไม่รวมถึงการศึกษาในแนวของโรงเรียนนานาชาติ) จะมีการแบ่งช่วงชั้นที่ชัดเจน ได้แก่ อนุบาล , ประถมศึกษา , มัธยมศึกษา และ อุดมศึกษา

หากแยกกันตามลักษณะการเรียนรู้ ก็มีทั้งแนวบูรณาการ แนวเร่งเรียน แต่ถ้าแยกตามความเข้มข้นทางด้านภาษาก็จะมี 2 แนวหลักๆ คือ แนวที่ยังเป็นแบบปกติ และแนวที่มีการเรียนเน้นภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยการเพิ่มวิชาเรียนได้แก่ Math , Social และ Science ซึ่งหลักๆ จะกล่าวถึงการเลือกโรงเรียนให้กับบุตรหลานจะเลือกแนวทางของภาษาเป็นหลัก

ในการปรับตัวของบุตรหลานที่เปลี่ยนแนวทางการศึกษาจะส่งผลกระทบกับตัวเด็กไม่มากนั้ก หากช่วงเวลาในการเปลี่ยนแนวการศึกษาไม่เกินประถมต้น แต่หากบุตรหลานต้องเปลี่ยนแนวในช่วงตั้งแต่ประถมปลายขึ้นไป การสอบแข่งขันจะยากขึ้น รวมถึงหากบุตรหลานได้รับคัดเลือกในการสอบ การปรับตัวในเรื่องการเรียนก็ยากไม่แพ้กัน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากหากเด็กเรียนในแนวของการเรียนแบบสองภาษา เวลาที่จะเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็จะถูกแบ่งไปเรียน Math และ  Science ทำให้ความเข้มข้นในเนื้อหาของ 2 วิชาดังกล่าวก็จะน้อยลงไปด้วย ส่วนเด็กที่ถูกเปลี่ยนแนวจากการเรียนในแบบปกติ มาเป็นแบบสองภาษา ก็ต้องปรับตัวในการเรียนเนื่องจากต้องมีการจำคำศํพท์ที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะที่นอกเหนือจากความเข้าใจพื้นฐานเพิ่มขึ้นอีกด้วย

หากเด็กๆ สามารถปรับตัวได้ การเรียนรู้ก็จะไม่มี่ปัญหาเกิดขึ้น แต่หากเด็กไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เขาไม่มีความสุขกับการเรียน จนถึงวันที่ต้องเข้าสู่สนามการสอบคัดเลือก อาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว หรือเสียค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกติใน

ดังนั้น การศึกษาของบุตรหลานของท่าน ควรมีการวางแผนกันเป็นช่วงยาวๆ จะดีกว่าการเปลี่ยนม้ากลางศึก เพราะเขาอาจจะแพ้สงครามเนื่องจากยังไม่คุ้นเคยกับม้าที่นำมาเปลี่ยน เมื่อเทียบกับม้าที่กรำศึกมาด้วยกันมานาน

ครูจา

 

Tags : , , , , , , , , , , , , , | add comments