จากที่ได้กล่าวเมื่อตอนที่แล้วว่า การรวมเป็นประชาคมอาเซียนนั้นมีความมุ่งหมายเพื่ออะไร คราวนี้เราลองมาดูในแต่ละประเด็นกันดีกว่า

การเป็นฐานการผลิตที่มีฐานการผลิตร่วมกัน สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี ซึ่งมองในแง่ทฤษฏีก็ดูดี แต่ในเชิงปฏิบัตินั้นฐานการผลิตสินค้าหลาย ๆ ชนิด เช่น การเกษตร ไม่สามารถผลิตได้ในทุก ๆ ภาคส่วนของอาเซียน ซึ่งก็จะมีพื้นที่ที่สามารถทำการเกษตรได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ก็มีประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในนั้น นั่นหมายความว่าการเช่า ซื้อพื้นที่ต่าง ๆ ก็จะเป็นที่หมายปองของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าของพื้นที่ในผืนแผ่นดินไทย อาจมีคนไทยถือครองไม่ถึงครึ่ง  นอกจากพื้นที่ทางการเกษตรที่เป็นที่หมายตาแล้ว มามองดูอุตสาหกรรมการท่องเทียว ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ ก็ยังพบว่า ประเทศไทยสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ทั้งฤดูร้อน (คนมักนิยมเที่ยวทะเล ทั้งทางทิศตะวันออก และทิศใต้) และฤดูหนาว ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวก็เบนไปที่ทิศเหนือของประเทศ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ เราจะเห็นได้ว่าประเทศของเราก็เป็นชิ้นปลามันชิ้นโตของนักลงทุน ที่มักหาประโยชน์กับผู้ถือครองที่ดินที่พร้อมที่จะขายทรัพย์สมบัติเพื่อให้ได้เงินมาซื้อความสะดวกสบายให้กับตนเองและครอบครัว

แต่เมื่อมาพูดถึงบริการ ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่ามี 7 อาชีพที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี นั่นคือ วิศวกร  พยาบาล นักสำรวจ  สถาปนิก  แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชี ซึ่งหากมาตรฐานการศึกษาไทยยังคงไม่ปรับตัว เราจะได้ผู้ที่ทำงานในวิชาชีพต่าง ๆ ในบ้านเราที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือได้รับคัดเลือกผ่านระบบเอ็นทรานซ์ โดยที่มีแต่คู่แข่งที่ไม่กระตือรือร้นในการเรียน เรียนเพื่อให้ได้วุฒิ แต่ไม่มีความรู้ ความสามารถติดตัว พอที่จะทำงานใด ๆ ได้เลย   เหล่านักวิชาชีพที่มีประสิทธิภาพเหล่านั้น ก็คงย้ายตนเองไปอยู่ในสังคม สิ่งแวดล้อม และค่าครองชีพที่ดีขึ้น ซึ่งมันอาจส่งผลให้คุณภาพการรักษาพยาบาล หรือการให้บริการด้านเฉพาะทางต่ำลง

สุดท้ายมากล่าวถึงเรื่องการศึกษา  หลาย ๆ ท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการศึกษาในอาเซียนนั้น เรามีสิงคโปร์เป็นผู้นำอยู่  หากแต่เราดูนโยบายด้านการศึกษาของทางสิงคโปร์ จะพบว่าเขาทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากในเรื่องของการศึกษา เพื่อให้คนในประเทศเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ และนอกจากนี้การศึกษาของประเทศสิงคโปร์ยังเป็นอีกหนึ่งบริการที่เขาเปิดขายด้วย ในทางกลับกันประเทศไทยเราทุ่มงบประมาณต่าง ๆ มากมายไปกับภาคอุตสาหกรรมโดยที่เราไม่มีความรู้ หรือไม่มีแม้นักคิดที่เป็นของเราเอง ไม่ได้มุ่งพัฒนาบุคลากร หรือเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความคิดสร้างสรรค์

จากบทความที่สรุปมา คงพอมองเห็นภาพกว้าง ๆ ว่าของประชาคมอาเซียน 2558 และจะได้เตรียมตัวให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ให้เขามีความรู้ ความสามารถเพื่อที่จะอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น และอยู่ภายใต้สภาวะของการแข่งขันที่สูงขึ้น

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

ก่อนที่จะวิเคราะห์ถึงข้อดี-ข้อเสียของการรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการของประชาคมอาเซียน เราควรจะศึกษาถึงข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ก่อน

เริ่มด้วยความมุ่งหวังของการรวมกลุ่มจัดตั้งประชาคมอาเซียนเป็นอันดับแรก จุดประสงค์หลักเพื่อให้เราเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งหมายความถึงการมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น ส่วนในแง่ของการผลิต ก็จะมีฐานการผลิตร่วมกันโดยเปิดโอกาสให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี

หลังจากศึกษาถึงจุดมุ่งหมายหลักของการรวมกลุ่มประชาคมอาเซียนแล้ว ลองมาดูผลสำรวจที่น่าสนใจ จากรายงานของ The Global Competitiveness Report 2011-2012 โดย World Economic Forum (WEF) ที่สำรวจอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ 142 ประเทศ

ในปีนี้พบว่า ความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยลดลงจากอันดับที่ 27 เมื่อปีที่แล้วและอันดับที่ 26 เมื่อปี2553 ลงมาอยู่ที่อันดับที่ 30 เนื่องจากไทยมีปัญหาการพัฒนาประเทศในหลายด้าน ส่งผลให้อันดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยลดลง 4 ด้าน คือประสิทธิภาพด้านเศรษฐกิจ ด้านการทำงานของรัฐบาล ด้านธุรกิจ และโครงการสร้างพื้นฐาน

พบว่า อันดับความสามารถทางการแข่งขันของไทยปรับลดลง 1 ตำแหน่ง จากลำดับที่ 38 เมื่อปีที่แล้วเป็น 39 ในปีนี้(เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่ปรับลดจากลำดับที่ 44 เป็น46 เวียดนาม จาก 59 เป็น 65) ขณะที่ประเทศที่มีลำดับดีขึ้นได้แก่ สิงคโปร์ ดีขึ้นจากลำดับ 3 เป็น 2 มาเลเซีย จาก 26 เป็น 21 ฟิลิปปินส์ จาก 85 เป็น 75 กัมพูชา จาก 109 เป็น 97 ส่วนบรูไน ลำดับเท่าเดิม คือ 28

ประกอบกับการรายงานของ International Institute for Management Development (2003) มีนักวิชาการหลายท่านสรุปว่าความสามารถในการแข่งขันนอกจากมาจากปัจจัยการผลิต 4 ประการ คือ ที่ดิน ทุน ทรัพยากรธรรมชาติ และแรงงานแล้ว การศึกษา และการเพิ่มองค์ความรู้พิเศษ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ลำพังความรู้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษที่เราจะต้องเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียน 2558 เราก็พบว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษของเด็กไทยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จากรายงานดัชนีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ (EF English Proficiency Index) ปี 2011 ของสถาบันสอนภาษา Education First (EF) สถาบันสอนภาษาชั้นนำของโลก ซึ่งดัชนีดังกล่าวทำมาจากการรวบรวมข้อมูลจากประชากรในวัยทำงานกว่า 2 ล้านคนใน 44 ประเทศที่ภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นภาษาแม่ทั่วโลก การวัดผลก็จะวัดจากการทดสอบความสามารถด้านภาษาอังกฤษ

ผลของการวัดความสามารถด้านภาษาอังกฤษดังกล่าวปรากฏว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษของไทยอยู่ในอันดับที่ 42 จาก 44 ประเทศ โดยจัดอยู่ในกลุ่มความสามารถด้านภาษาอังกฤษต่ำมาก (Very Low Proficiency) และหากเทียบเฉพาะประเทศ ในทวีปเอเชียที่ทำการวิจัยมี 13 ประเทศ ปรากฏว่าประเทศที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย รองลงมา คือ ฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นไต้หวัน ซาอุดีอาระเบีย จีน อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย คาซัคสถาน ตามลำดับ

หากเราพิจารณาถึงข้อมูลจากการสำรวจดังกล่าวในมุมของการศึกษาไทย ที่ผลิตบัณฑิตเข้าสู่ตลาดแรงงานอาเซียน คงเห็นภาพได้ลาง ๆ แล้วว่า ตลาดแรงงานไทย น่าจะมีผลกระทบในด้านใดมากกว่ากัน

 

ครูจา

ข้อมูลจาก  http://www.thai-aec.com

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments