Aug 28
Posted by malinee on Tuesday Aug 28, 2018 Under เกร็ดความรู้
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีบุตรน้อย เมื่อบุตรหลานเข้าสู่วัยเรียน ก็เฟ้นหาโรงเรียนที่คิดว่าดีที่สุดให้กับเขา แต่หลายๆ ครอบครัวก็หลงลืมไปว่าช่วงก่อนวัยเรียน เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุดที่จะพ่อแม่จะสามารถสร้างนิสัยให้กับบุตรหลานได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการสร้างนิสัยในเรื่องของความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ การสังเกต การรู้จักกฎระเบียบ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ให้กับบุตรหลาน รวมถึงกล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญของพัฒนาการในวัยเตาะแตะ (Toddlers) ร่วมกับสมาธิ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลานเมื่อก้าวเข้าสู่วัยเรียน
การเสริมสร้างลักษณะนิสัยต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลานเพื่อให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากปัจจุบันด้วยสภาพสังคมในยุคดิจิตอลที่สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้เวลาที่ควรเป็นของครอบครัวถูกเบียดบังด้วยสื่อต่างๆ มากมาย หลายๆ ครอบครัวถูกครอบงำด้วยเทคโนโลยี และติดกับไปกับสีสัน สังคมในหน้าจอ เข้าใจผิดคิดว่า การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นตัวช่วยในการพัฒนาบุตรหลาน ทำให้การทำกิจกรรมที่เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ หรือเพียงแค่การตบมือ การเล่นจ๊ะเอ๋นั้น เป็นการสร้างการเชื่อมโยงของปลายประสาทของสมองที่กำลังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดผ่านกิจกรรมทางด้านร่างกายผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในช่วง 7 ขวบปีแรก ถดถอยลง เมื่อเด็กไม่มีการใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ นอกจากตาและนิ้วเพียงนิ้วเดียว
เมื่อถึงวัยเรียนกล้ามเนื้อมือที่ควรจะแข็งแรงและพร้อมจะขีดเขียน ก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน กลายเป็นเด็กรู้สึกว่าการเรียนไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากทำ สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือสมาธิที่ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ ไม่ว่าพ่อแม่จะเลือกโรงเรียนหรือครูที่ดีเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ได้ เปรียบเหมือนกับน้ำที่เต็มแก้ว ไม่สามารถรับน้ำได้เพิ่มอีกแล้ว ไม่ว่าจะรินน้ำดี หรือสะอาดเพียงใด ก็ไม่สามารถรับเข้าไปได้เพิ่มอีกแล้ว ในเมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้ที่รู้ว่าสิ่งใดดีกับการเสริมสร้างพัฒนาการให้กับบุตรหลาน ควรเลือกเติมเต็มสิ่งที่ดีให้กับบุตรหลาน เพื่อให้เขาได้เติบโตและเรียนรู้ได้ทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
Jan 14
รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี
ผ่านมาแล้วกับช่วงเวลาแห่งความสุขของเด็กๆ ทั้งการฉลองปีใหม่และเหตุการณ์ล่าสุด คือการเที่ยวเล่นในสถานที่ต่างๆ ในวันเด็กแห่งชาติ สิ่งที่เด็กๆ จะถูกถามมีอยู่เพียง สองคำถามหลักๆ คือคำขวัญวันเด็กประจำปี และโตขึ้นอยากเป็นอะไร
คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ก็คงยังจำได้ว่า วันเด็กในช่วงที่ตนเองเป็นเด็ก ตอบไปว่าอะไร เช่นกัน วัฒนธรรมนี้ก็ยังคงยาวนานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไป ก็คือคำตอบที่หลากหลายมากขึ้นของเด็กๆ เนื่องจากเด็กในยุคนี้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น แต่อาชีพหลักๆ ยังคงเป็น แพทย์ วิศว และอื่นๆ อีกมากมาย ตามความคิดและจินตนาการของเด็กๆ ซึ่งเมื่อเขาโตขึ้น อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงความฝัน ความคิดได้ตลอดเวลา
เด็กหลายๆ คน ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะเป็นหมอเมื่อโตขึ้น คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยสนับสนุนให้เขาไปถึงฝั่งฝันให้ได้ การเป็นหมอในปัจจุบัน เราสามารถเลือกเรียนได้ทั้งในภาคภาษาไทย (ภาคปกติ) กับอีกหลักสูตรคือหลักสูตรภาคอินเตอร์ โดยมีเกณฑ์การคัดเลือก จะเป็นข้อสอบวิชาการเป็นวิชาภาษาอังกฤษ และข้อสอบทักษะทางภาษาอังกฤษ ซึ่งการคัดเลือกจะเป็นการคัดเลือกในรอบแรก (ภาคอินเตอร์) เป็นรอบของ portfolio ส่วนภาคปกติจะอยู่ในรอบสาม
นอกจากเรื่องของช่วงเวลาและหลักสูตรในการเรียนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความเข้าใจกับบุตรหลานว่าการเรียนหมอนั้น ต้องใช้เวลาเรียนถึง 6 ปี นอกจากนี้แล้ว ความรู้ด้นวิชาการจะต้องแข็งมาก เนื่องจากการสอบคัดเลือกนั้น ทุกๆคน ก็ต้องการเป็นหมอและได้เตรียมตัวด้านวิชาการมาเป็นอย่างดี หากเราเตรียมตัวไม่ดี ก็อาจพลาดโอกาสที่จะเป็นหมอได้ นอกจากนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ยังเป็นกำลังสำคัญที่จะคอยผลักดัน และให้กำลังใจกับบุตรหลานให้ทำความฝันให้สำเร็จ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ ย่อมต้องมีอุปสรรค จนอาจทำให้เกิดความท้อแท้ได้ ขอให้เด็กๆ มีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ สิ่งที่ตั้งใจก็จะสำเร็จในที่สุด
Jan 30
ปรากฏการณ์ สุริยุปราคา “Solar eclipse” นั้น คือปรากฎการณ์ที่เงาของดวงจันทร์มาบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่สองมายังโลก แต่..
รู้หรือไม่ว่า ปรากฎการณ์นี้ จะอยู่ได้ไม่เกิน 8 นาที เนื่องจากความเร็วของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์
เนื้อหา : brainpoweer.com
Jul 28
Posted by malinee on Thursday Jul 28, 2011 Under เกร็ดความรู้
มักมีข้อสงสัยในใจผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านที่ให้ลูกเรียนจินตคณิตว่า “ทำไมลูกยังมีปัญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หรือ ทำไมลูกเรียนแล้วไม่เห็นได้ผลเลย!” ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า การเรียนจินตคณิตโดยใช้ลูกคิดนั้นเป็นการใช้ลูกคิดเป็นสื่อกลางในการคำนวณเปรียบเสมือนกับเครื่องคิดเลขชนิดหนึ่ง ดังนั้นก่อนที่เด็กจะสามารถคำนวณเลขได้โดยผ่านลูกคิดนั้น เด็กทุกคนจะต้องเรียนรู้และฝึกการใช้ลูกคิดให้มีประสิทธิภาพก่อน ซึ่งในการเรียนนั้นจะต้องผ่านลำดับขั้นของการเรียนรู้ตั้งแต่การดีดลูกคิดอย่างง่าย ๆ ไปจนถึงลำดับขั้นการดีดที่ความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเด็กจะต้องเป็นผู้เลือกใช้สำหรับการคำนวณโดยใช้ลูกคิดในแต่ละครั้งว่าจะใช้สูตรใด หรือคู่ใด (คู่ซี้เล็ก หรือคู่ซี้ใหญ่) เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ความชำนาญ และความรวดเร็วในการดีดลูกคิด โดยที่เด็กส่วนใหญ่มักจะขาดการฝึกฝนการใช้ ทำให้เด็กเลือกใช้ได้ไม่ถูกต้อง หรือขาดความชำนาญ ทำให้ดีดลูกคิดได้ช้าหรือผิดพลาด ซึ่งเมื่อกลับเข้าชั้นเรียนและไม่ได้รับการฝึกฝนในระหว่างสัปดาห์ เด็กก็จะขึ้นเนื้อหาใหม่ได้ช้าลงเนื่องจากต้องเน้นย้ำเนื้อหาเก่าให้แม่นยำก่อน ซึ่งโดยปกติแล้วเด็กจะจำเร็วและลืมเร็วเช่นกัน ดังนั้น การฝึกฝนการใช้ลูกคิดก็เหมือนกับการฝึกฝนการใช้เครื่องมืออื่นๆ นั้นคือ เด็กที่ผ่านการฝึกบ่อย ๆ ก็จะสามารถคำนวณโดยใช้ลูกคิดได้คล่องกว่า ไปได้เร็วกว่า และมีความแม่นยำมากกว่าเด็กที่ไม่ค่อยได้ฝึกฝน และส่วนหนึ่งคือผู้ปกครองบางท่านใจร้อน คืออยากเห็นพัฒนาการของลูกอย่างรวดเร็ว หรืออยากเห็นประโยชน์จากการเรียน จึงมักจะมองว่าทำไมลูกเรียนมาตั้งนานแล้วลูกยังเรียนไม่ทันตามเนื้อหาที่โรงเรียนเลย หรือ ไม่เห็นว่าลูกจะนำลูกคิดไปใช้ประโยชน์ในการเรียนที่โรงเรียนได้เลย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ เนื้อหาที่เด็กเรียนในโรงเรียนมีความก้าวหน้าขึ้นทุกๆวัน ส่วนการเรียนจินตคณิตเป็นวิชาเสริมวิชาหนึ่งซึ่งเด็กทุกๆ คน ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับชั้นใดจำเป็นจะต้องเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับพื้นฐานการดีดลูกคิดแล้วค่อย ๆ เพิ่มความยากขึ้นจนนำไปสู่การจินตนาการ ซึ่งการจินตนาการนี้เอง ก็จะทำให้ผู้ปกครองค่อยๆ เริ่มเห็นพัฒนาการของลูก นั่นคือเด็กที่เริ่มเรียนจินตคณิตในระดับอนุบาล หรือ ในระดับประถม 1 หรือ 2 ผู้ปกครองก็จะสามารถเห็นการนำจินตคณิตไปใช้ในโรงเรียนได้เร็วกว่า เด็กในระดับประถมปลาย หรือ ป.5 ป.6 ซึ่งมีเนื้อหาในการเรียนที่ซับซ้อนกว่าละยากกว่า ทำให้เด็กโต หลาย ๆ คนที่เข้ามาเรียน ไม่ยอมฝึกใช้และหันไปใช้วิธีเดิม ๆ เพราะคิดว่าการใช้ลูกคิดมันยุ่งยาก
Sep 30
Posted by malinee on Thursday Sep 30, 2010 Under คอร์สปิดเทอม
รอบที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. 53 ถึงวันที่ 15 ต.ค. 53 รอบที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. 53 ถึงวันที่ 21 ต.ค. 53 รอบที่ 3ตั้งแต่วันที่ 18ต.ค. 53 ถึงวันที่ 29 ต.ค. 53 หลักสูตรที่เปิดสอน คือ หลักสูตรลูกคิด สำหรับน้อง ๆ ระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของสมองทั้งสองซีก และหลักสูตรโจทย์คณิตคิดง่าย สำหรับน้อง ๆ ระดับ ประถมศึกษา เพื่อปรับพื้นฐาน และ เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดเทอมรอบใหม่ที่กำลังจะมาถึง พิเศษ สำหรับน้อง ๆ ที่สมัครเรียนในช่วงคอร์สปิดเทอมนี้ สามารถเข้าร่วม กิจกรรมนอกสถานที่ กับทางสถาบันฯ ฟรี 1 วันเต็ม ซึ่งน้อง ๆ จะได้พบกับกิจกรรมที่สนุกสนานมากมายพร้อมสอดแทรกทักษะทางคณิตศาสตร์และทักษะด้านการใช้เหตุผล ผ่านกิจกรรม