Dec 03
ในปัจจุบันถือว่าเป็นโลกแห่งความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะหาอะไรจะทำอะไรก็ง่ายดาย เช่นเดียวกัน ที่เรียนของลูกก็จะยากอะไร มีให้เลือกอยู่เยอะแยะไม่ว่าจะเรียนอะไร เดินสยามมีทุกชั้น ทุกวิชา
จริงอยู่ที่สถาบันกวดวิชามีมากมายหลากหลาย มีทั้งเรียนเดี่ยว เรียนกลุ่ม หรือแม้กระทั่งรับสอนตามบ้าน ถ้าลูกเรียนวิชาไหนไม่รู้เรื่องก็ส่งไปเรียนตามสถาบันต่างๆ บางครั้งปัญหาของความไม่เข้าใจก็ได้รับการแก้ไข แต่หลายๆ ครั้งปัญหาไม่อาจแก้ไขได้ บางครั้งปัญหาที่ต้องการการแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาของการเรียน แต่เป็นปัญหาทางด้านพฤติกรรม
ทำไมครูถึงบอกว่าปัญหาของการเรียนเกี่ยวกับปัญหาทางพฤติกรรม เนื่องจากเด็กหลายๆ คนถูกบ่มเพาะนิสัยที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเกิดอะไรรอบตัว ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง จากการที่คิดแทน ตัดสินใจแทน หรือแม้กระทั่งการบ้าน รายงานแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นหน้าที่ของตนเอง ร่วมกับการส่งความสุขให้กับบุตรหลานผ่านเกมส์ ทีวี การ์ตูน ซึ่งเป็นข้ออ้างว่าต้องการให้เขาได้พักสมองบ้าง
การบ่มเพาะดังกล่าวให้เวลาเพียงไม่ถึงสามเดือน เด็กก็จะมีบุคลิกเฉื่อย ไม่สนใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ มีโลกส่วนตัว กลายเป็นเด็กเรียนรู้ช้าในที่สุด ซึ่งเป็นเหตุให้ผลการเรียนตกต่ำลงเรื่อยๆ กว่าสัญญาณดังกล่าวจะส่งถึงผู้ปกครอง ก็ต้องใช้เวลานาน เนื่องจากเด็กที่มีบุคลิกดังกล่าวไม่ใช่เด็กที่ป่วน หรือไม่เชื่อฟังครู เป็นเด็กที่เงียบ เฉย ซึ่งการเรียนในโรงเรียนเป็นกลุ่มใหญ่ ครูจะเข้าใจว่าเป็นบุคลิกส่วนตัว ก็ปล่อยผ่านไป
เหตุการณ์ดังกล่าวเหล่านี้ เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ทางสถาบันมักถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้งว่าจะแก้อย่างไร หรือเรียนอะไรดี จะช่วยได้ ครูตอบได้เพียงแต่ ไม่มีวิชาใดแก้พฤติกรรมที่บ่มเพาะจากทางบ้านได้ นอกจากการแก้พฤติกรรมในบ้านด้วยตัวของพ่อแม่ผู้ปกครองเองเท่านั้น
Jul 17
…ในสังคมปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่ามีแต่การแข่งขัน การรีบเร่ง เพื่อให้ได้ชัยชนะหรือให้ได้ถึงจุดหมายเร็วที่สุด หรือเพื่อให้เป็นที่หนึ่งไม่ใช่เฉพาะธุรกิจ การทำงานเท่านั้น ปัจจุบันนี้ เราก็จะเห็นภาพของเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ ผู้ปกครองพาไปเรียนพิเศษกันเยอะมาก เมื่อก่อนเราจะเห็นภาพเด็กโตเสียเป็นส่วนหรือเด็กที่เรียนในระดับมหาลัย แต่ปัจจุบันนี้การแข่งขันสูงขึ้น เด็กที่พ่อแม่พาไปเรียนอายุน้อยลงเรื่อยๆบางคนอยู่ในระดับอนุบาล..หลายคนจำเป็นต้องเรียนเพิ่มเติมเพราะทักษะยังไม่ดีพอเรียนในห้องกับเพื่อนๆไม่เข้าใจ หลายคนเรียนเพื่อเสริมทักษะให้แกร่งขึ้น เด็กในกลุ่มนี้จะเป็นเด็กที่พร้อมและชอบในการเรียนทีโหนระดับ เช่น อยู่ป3 เรียนเนื้อหาของป4 หรือบางคนอยุ่ป4 เรียนเนื้อหาของป5 ป6 เด็กในกลุ่มจะสามารถเข้าใจและมีทักษะที่แข็งแกร่งขึ้น..แต่..ไม่ใช่กับทุกคน..พ่อแม่บางคนเห็นลูกคนอื่นเรียนได้ ลูกชั้นก็ต้องเรียนได้ พยายามบีบและพยายามเร่ง พยายามทำทุกทางเพื่อให้ลูกได้คะแนนดีเหมือนคนอื่น บางคนยังเล็กมากระดับอุนบาลก็โดนเร่งเรียน..เข้าใจค่ะว่าพ่อแม่หวังดีกับลูกทุกคน.แล้วเคยลองมองย้อนกลับมาที่ลูกเราบ้างหรือเปล่า เคยถามเค้าบ้างมั้ยว่าเค้าไหวหรือเปล่า โดยเฉพาะในระดับอนุบาลด้วยวัยเค้ายังเล็กมาก เค้ารับการบีบอัดและเร่งเรียนไม่ไหว หลายคนไม่ได้เรียนแย่แต่พ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นที่หนึ่ง พยายามหาที่เร่งเรียน เอาการบ้านที่รร.ให้มาสอนเอง ทำการบ้านเกินที่ครูให้เพื่อให้ลูกจบเล่มและขึ้นเล่มใหม่เร็วๆ เพื่อให้แซงคนอื่นๆบางครั้งบางวิชาเป็นเทคนิคเฉพาะตัวที่ต้องปล่อยให้ครูผุ้สอนเป็นสอนและเป็นคนกำหนดทิศทางในการเรียนพ่อแม่ไม่สามารถสอนได้ หลายคนเห็นว่าช้าเกินไป กำหนดวิธีการสอนเองเร่งเนื้อหาเอง สั่งการบ้านเพิ่มเองจากที่ครูสั่งไว้ให้ลูกทำเยอะๆ ทำเนื้อหาทั้งๆที่ยังเรียนไม่ถึง ครูยังไม่ได้สอน พ่อแม่สอนเทคนิคเอง เร่ง เร่ง เพื่อให้จบเล่มเร็วขึ้น..สุดท้ายลุกจำเทคนิคไม่ได้ จำเนื้อหาไม่ได้ กลายเป็นต้องเรียนซ้ำเพราะไปต่อไม่ได้ และสุดท้ายทัศนคิตกับวิชานั้นจะแย่ลง หนักเข้าอาจพาลไม่อยากเรียนอะไรอีกเลย..แต่ มันคงจะดีกว่ามั้ยถ้าปล่อยให้ลุกเรียนไปตามสเต๊ปในวิชานั้นและปล่อยให้ครูผู้สอนเป็นคนนำพาลูกเราให้เก่งในวิชานั้นต่อไป..ลองถามตัวเองสักครั้งว่าการเร่งลูกมันดีจริงๆหรอ การที่ลูกแซงคนอื่นได้มันทำให้ลูกมีความสุขจริงมั้ย มันเป็นความสุขของใคร?..การเร่ง เร่ง เร่งเรียน….เพื่อใคร?..ขอบคุณและสวัสดีค่ะ
Jun 06
ในยุคปัจจุบันภาพของเด็กๆ ตามสถาบันกวดวิขาในวันหยุดกลายเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตาไปเสียแล้ว ในขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่สนับสนุนให้เด็กๆ เรียนมากจนเกินไป ส่งผลให้เกิดนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้การเรียนพิเศษนอกโรงเรียนยังคงเหมือนเดิม เรามาลองพิจารณาเด็กกลุ่มต่างๆ ที่เข้าเรียนตามสถาบันกวดวิชาต่างๆ ซึ่งเราสามารถแยกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่มแรก เด็กกลุ่มก่อนวัยเรียน จะเป็นกลุ่มที่คุณพ่อคุณแม่ ต้องการเสริมทักษะและพัฒนาการในด้านร่างกาย หรือด้านภาษา เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมโดยการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นสื่อกลางให้เด็กได้เข้าใจคำศัพท์พร้อมกับการยืดเส้นยืดสาย การเรียนในกลุ่มนี้ เด็กๆ จะได้เรียนรู้ภาษาพร้อมกับกิจกรรมผ่านการเล่น ในวัยที่เด็กยังจำเป็นต้องมีการพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ควบคู่กับกล้ามเนื้อมัดเล็ก โดยไม่มีแรงกดดัน ทำให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมอย่างมีความสุขสนุกสนาน
กลุ่มที่สอง กลุ่มปฐมวัย การเรียนในกลุ่มนี้เกิดขึ้นเนื่องจากกระแสของสังคม สิ่งที่เห็นได้ชัดเลย คือการส่งบุตรหลานเข้าติวสาธิต เหตุที่ว่าเป็นกระแสสังคม เนื่องจากเราจะเห็นได้จากจำนวนนักเรียนที่สมัคร เทียบกับจำนวนนักเรียนที่รับ ซึ่งการเรียนติวสาธิตนั้นจะเป็นการเรียนเป็นระยะเวลา 1 – 2 ปีในเตรียมความพร้อมให้กับเด็กๆ ที่จะเข้าสอบ การเรียนในแนวนี้ จะเครียดในช่วงของโค้งสุดท้ายก่อนสอบ เด็กหลายๆ คนถึงกับเกิดอาการเครียดโดยไม่รู้ตัว
กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มของเด็กประถมวัย การเรียนพิเศษในกลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ กลุ่มที่เข้าไปเรียนในโรงเรียนสาธิตได้แล้ว เนื่องจากแนวของโรงเรียนดังกล่าวเป็นการเรียนในแนวบูรณาการ ไม่ค่อยมีการบ้าน ไม่ค่อยได้เรียน คุณพ่อคุณแม่ ก็เป็นกังวลว่าจะตามโรงเรียนอื่นได้อย่างไร จึงจัดตารางการเรียนวันหยุดให้กับน้องๆ ส่วนอีกกลุ่ม เป็นเด็กที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มของโรงเรียนเร่งเรียน โรงเรียนสองภาษา คุณพ่อคุณแม่อาจเกิดความกังวล กลัวว่าบุตรหลานจะไม่สามารถเรียนตามเพื่อนได้ทัน เนื่องจากจำนวนเด็กต่อห้อง มากกว่าตอนที่อยู่อนุบาลมาก
กลุ่มที่สี่ กลุ่มเด็กประถมปลาย เป็นกลุ่มที่ต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้ง การเรียนในกลุ่มนี้ เพื่อการทบทวนเนื้อหาและ ฝึกทำแนวข้อสอบในแนวต่างๆ ที่หลากหลายกว่าการเรียนในโรงเรียนทั่วไป
กลุ่มที่ห้า คือกลุ่มที่เป็นเด็กล่ารางวัลในสนามแข่งขันต่างๆ เราจะเห็นสนามแข่งขันทั้งคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์หลายๆ สถาบันเกิดขึ้นทั้งปี เด็กในกลุ่มนี้เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้เร็ว จึงเข้าไปอยู่ในกลุ่มของการเรียนเพื่อการแข่งขันในสนามทั่วประเทศ
กลุ่มที่หก เป็นกลุ่มของเด็กมัธยม การเรียนในกลุ่มของเด็กมัธยม ส่วนใหญ่เกิดจาก คุณพ่อคุณแม่เริ่มไม่สามารถดูแลได้ จำเป็นต้องให้น้องๆ เข้าเรียนในสถาบันกวดวิชาต่างๆ เพื่อเตรียมตัวเลือกแผนการเรียน และสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป
จากกลุ่มของเด็กต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น มันอาจสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง เช่น การเรียนในโรงเรียนไม่ดีพอหรือ หรือเกิดอะไรขึ้นกับความรับผิดชอบในตัวเด็ก หรือเกิดระบบการศึกษาของบ้านเราล้มเหลว จึงทำให้เด็กเกือบทุกคนที่มีโอกาส ต้องวิ่งหาที่เรียนจนกว่าจะจบการศึกษา หรือ อาจถึงตอนติวเพื่อสมัครสอบเข้าทำงานในหน่วยงานราชการจึงจะสิ้นสุด