May 11
ในช่วงของสถานการณ์ที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆคนมีโอกาสได้อยู่บ้านแบบยาวๆ เด็กๆ เองก็หยุดแบบยาวๆ กัน การมีเวลาว่างๆ ของเด็ก ถ้าเป็นครอบครัวที่สรรหากิจกรรมต่างๆ ได้ทำร่วมกัน ก็จะทำให้เด็กๆ อาจมีเวลาค้นหาตัวตนของตนเองว่าชอบอะไร แต่ในปัจจุบันน่าเสียดายที่เวลาของครอบครัวถูกเบียดด้วยจอสี่เหลี่ยมที่เราเป็นคนพามันเข้าสู่ครอบครัว แล้วทำให้เวลาในการปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัวหายไป ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน จากสถานการณ์ของการระแพร่ระบาด ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ปรากฏการณ์ใหม่ๆ หรืออาจเรียกว่าวิวัฒนาการที่ทำให้การดำรงชีวิตของเราเปลี่ยนแบบไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ คือเด็กในรุ่นนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงมาก คงไม่มีพ่อแม่ คนไหนคิิดจะให้บุตรหลานอยู่ภายใต้ปีกที่อบอุ่นของตนเองจนเค้าจากไป เรามีเพียงหน้าที่ที่จะดูแลชี้นำในสิ่งที่ถูกต้องหรือ เลือก#โรงเรียน สังคมให้เขาในวัยเด็กเท่านั้น สิ่งที่เราต้องคิดคือ เราได้เตรียมความพร้อมให้กับเขาสำหรับยุคของการใช AI (Artificial Intelligence) แล้วหรือยัง ยุคของ AI คืออะไร คือยุคที่มีการเปลี่ยนจากแรงงานคนเป็นคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมด คำว่าแรงงานไม่ได้หมายความแค่ผู้ใช้แรงงาน แต่หมายรวมถึงพนักงานทั่วไป ที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบที่มีฐานข้อมูลของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ด้วยความที่เกิดมาในยุคดิจิทัล ทำให้ทุกอย่างต้องรวดเร็ว จึงขาดทักษะของการรอคอย ไม่เห็นคุณค่าของการสิ่งของที่ได้มาเพราะไม่เคยต้องแลกกับการรอคอย หรือการต้องทำบางอย่างเพื่่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ประกอบกับทางเลือกของพ่อแม่ผู้ปกครอง ทำให้เด็กทุกคนกลายเป็นลูกเทวดาในโรงเรียน เพราะโรงเรียนมีการแข่งขันกันสูงจึงถือว่าเด็กนักเรียนเป็นลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้าต้องมาก่อน เมื่อหันไปหาโรงเรียนทางเลือกอย่างโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งในช่วงของปฐมวัยจนจบระดับประถมศึกษา เน้นการเรียนแบบ child center นั่นคือแบบบูรณาการที่เราคุ้นเคย การเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็ก บางโรงเรียนการบ้านเป็นแบบ optional คือส่งหรือไม่ส่งก็ได้ กลับกลายเป็นทำให้เด็กขาดวินัยอย่างรุนแรง สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เด็กในยุค 4.0 กลับกลายเป็นการบ่มเพาะความเปราะบางทางด้านอารมณ์ ขาดวินัย ไร้ความพยายาม ไม่มีความอดทน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถทำให้เขาเติบโตในยุคของการแข่งขันกับเทคโนโลยีได้เลย ดังนั้น อย่าให้เขาต้องเผชิญปัญหาในขณะที่เขาไม่สามารถแก้ไขนิสัยได้ เราซึ่งเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นผู้ที่วางกรอบให้ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการตีกรอบ วางให้เขาอยู่ในระเบียบวินัย ใส่ทักษะของการรอคอย ปล่อยให้เรียนรู้ที่จะผิดหวัง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม สร้างภูมิต้านทานให้เขาได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงในเวลาที่เขาต้องเดินโดยไม่มีไหล่คุณให้เกาะ..#เรามีสิทธิเลือกเส้นมางให้ลูก #เลือกผิด = เหนื่อยเพิ่มขึ้น#เลือกถูก = อนาคตที่ดีของลูกเรา#สถาบันคิดสแควร์
Jan 30
Posted by malinee on Tuesday Jan 30, 2018 Under เกร็ดความรู้
เราทราบกันหรือไม่ว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ของการรังแกกัน โดยการใช้ความรุนแรงของเด็ก และกลุ่มที่ใช้สื่อทางเทคโนโลยีพวกโซเชียลในการทำร้ายเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง จากการเก็บข้อมูลพบว่าเด็กในกลุ่มที่เป็นเหยื่อจะเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มของเด็กพิเศษ ซึ่งจะถูกกลุ่มเพื่อนที่รวมตัวกันเกเร รังแกโดยใช้ความรุนแรง ส่วนกลุ่มที่เป็นตัวการมักเป็นเด็กในกลุ่มที่ติดกับการเล่นเกมส์รุนแรง ร่วมกับการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องพฤติกรรมจากครอบครัว จึงไม่มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นเรื่องรุนแรง
ส่วนกลุ่มที่โตขึ้นจะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งเหยื่อ โดยนำเรื่องที่น่าอาย หรือแม้แต่การแต่งเรื่องแล้ว post ขึ้นบนสื่อโซเชียล ให้เหยื่อได้รับความอับอาย ผลที่ได้คือเด็กในกลุ่มที่ถูกรั
แกทั้งสองกลุ่ม หากไม่ได้รับการแก้ไขเหยื่อจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า
หากไม่มีใครตระหนัก หรือร่วมกันแก้ไขปัญหา เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะแย่ลงเรื่อยๆ เพียงร่วมมือกัน ช่วยกันคนละเล็กละน้อย โดยการดูแลบุตรหลานไม่ให้เป็นเหยื่อ โดยการหลีกเลี่ยงปัจัยทุกอย่างที่ส่งผลให้บุตรหลานกลายเป็นเด็กพิเศษ และช่วยกันดูแล อบรมบุตรหลานให้เป็นคนดีไม่รังแกหรือทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะทางใดก็ตาม
Jul 03
วันนี้หัวข้อที่จะเขียนก็สืบเนื่องมาจาก มีผู้ปกครองเดินมาปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนการสอนของโรงเรียนต่างๆ ในแนวอื่นๆ เนื่องจากโรงเรียนที่ลูกแฝดของตนเรียนอยู่นั้น เป็นโรงเรียนในแนวบูรณาการ
เรามารู้จักแนวการเรียนในแนวบูรณาการ เป็นแนวการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งหมายถึงความพร้อมและความสนใจของผู้เรียน สิ่งที่เป็นปัญหาในปัจจุบันก็คือตัวผู้เรียน ซึ่งไม่ค่อยให้ความสนใจในการเรียน ส่งผลให้การเรียนไม่เป็นไปตามแผนการเรียนที่วางไว้ หรือหากต้องการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็จำเป็นจะต้องสอนเนื้อหาในแต่ละบทแบบคร่าวๆ ทำให้เด็กมีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ไม่ดีพอ ประกอบกับการวางมือเรื่องการเรียนให้กับทางโรงเรียนมีหน้าที่รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว ทำให้กว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้ว่าบุตรหลานไม่สามารถนำความรู้ที่เรียนมาไปสอบคัดเลือกที่ไหนได้ ก็สายเกินแก้ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากทุกครอบครัวช่วยกันดูแลเอาใจใส่บุตรหลานตั้งแต่ก่อนวัยเรียน ให้เค้ารักการเรียนรู้ รู้จักสังเกต ให้เขาอยู่ห่างจากเทคโนโลยี ยิ่งนานเท่าไรได้ยิ่งดี ให้เค้าได้สร้างจินตนาการจากการอ่านนิทาน ไม่ใช่การดูการ์ตูน ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยให้กับเค้า เมื่อเข้าสู่วัยเรียนก็เตรียมความพร้อมให้กับเค้าเพื่อให้การเรียนรู้เร็วขึ้น แต่การเอาใจใส่ ไม่ใช่การคิด อ่าน เขียน หรือ ทำทุกอย่างแทนทั้งหมดเพราะเค้าจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยแบ
ครูจา
Jun 12
แนวโน้มเด็กไทยในยุคสังคมก้มหน้า เนื่องจากหลายๆ ครอบครัวที่เป็นครอบครัวขยาย เด็กกลายเป็นศูนย์กลางของครอบครัว อยู่กับลุง ป้า น้า อา ทุกคนจะแห่แหนกันดูแล เอาใจเด็กอยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ได้ในบ้าน ซึ่งเกินความพอดี จนบ่มเพาะนิสัยที่เฉื่อย เหม่อลอย เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีความพยายามหรือกระตือรือร้นในการทำอะไรให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง เขาจะไม่มีการลองผิดลองถูก ไม่มีประสบการณ์ของความล้มเหลว รวมไปถึงไม่มีประสบการณ์ของความสำเร็จด้วยเช่นกัน เนื่องจากการทำอะไรก็ต้องมีผู้ใหญ่คอยให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา
สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ใช่ดาบสองคม แต่เป็นดาบเพียงด้านเดียวที่ทำร้ายเด็กโดยตรง เนื่องจากเด็กๆ จะไม่มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทุกอย่างที่รู้เกิดจากการป้อนข้อมูลที่สำเร็จแล้วทั้งสิ้น ไม่มีการคิดวิเคราะห์เหตุผล ไม่มีการฝึกทักษะทางด้านการควบคุมอารมณ์ เนื่องจากทุกอย่างที่ได้มา ได้มาอย่างง่ายดาย ไม่ต้องเสียเวลาในการรอคอย ขาดการฝึกทักษะด้านการเข้าสังคม เด็กกลุ่มนี้จะมีเพื่อนช้า หรืออาจไม่มีเลย ไม่ถูกฝึกให้รู้จักความผิดหวัง และสุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเอง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ข้างต้นจะส่งผลแย่ลงอย่างรวดเร็วถ้ามีตัวกระตุ้นจากการส่งเทคโนโลยีให้กับเขาเหล่านั้น หากไม่ต้องการทำร้ายบุตรหลานที่เรารัก เราจำเป็นต้องปรับวิธีการเลี้ยงดูบุตรหลาน โดยให้เค้ามีความทักษะรอบด้าน ทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยให้เค้าได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ให้รู้จักการรอคอย รู้จักความผิดหวัง รู้จักใช้เหตุและผล ไม่ใช่การเรียนรู้ผ่านจออย่างแท๊ปเล็ค มือถือ หรือทีวี ที่ได้แต่ความพึงพอใจของเด็กเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ครูจา
May 16
หลายๆ ท่านน่าจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ และเภสัชศาตร์ ในวันที่ 7 – 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีการใช้อุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ นั่นคือการติดกล้องไว้กับแว่นตาเพื่อถ่ายภาพข้อสอบ และมีการส่งคำตอบกลับไปยังนาฬิกาข้อมือ ซึ่งทางสถาบันกวดวิชาจะมีการรับรองผล โดยที่ผู้เข้าสอบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นคือ นาฬิกาเป็นเงิน 50,000 บาท แล้วหลังจากที่มีการประกาศผลสอบแล้ว ผู้เข้าสอบต้องชำระอีกเป็นจำนวนเงิน 800,000 บาท ซึ่งทางสถาบันกวดวิชามีการรับรองผลในการสอบทั้งสามคณะ ได้แน่นอน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว มันสามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของสถาบันกวดวิชา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง แต่ขาดจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ ซึ่ง 3 คณะดังกล่าวเป็นคณะที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งสิ้น หากจะกล่าวว่าทางสถาบันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงขนาดฉลาดใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้อย่างแยบยลเช่นนี้ อีกส่วนก็เป็นส่วนของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งแน่นอนต้องเป็นผู้ที่ชำระเงินตามที่ทางสถาบันกวดวิชาเป็นผู้เรียกเก็บในอัตราที่สูงลิบลิ่ว หากการทุจริตครั้งนี้สำเร็จ แน่ใจหรือว่าบุตรหลานจะสามารถเรียนได้ หากเรียนไม่ได้จะต้องมีการทุจริตอีกกี่ครั้ง ต้องถูกเรียกเก็บค่าทุจริตอย่างนี้เรื่อยไปจนจบ แล้วสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น แล้วตัวบุตรหลานเองจะหาความภูมิใจในตนเองได้อย่างไร ในเมื่อความสำเร็จในการศึกษาได้มาเพราะเงินที่พ่อแม่ทุ่มไป ไม่ใช่ความสามารถของตนเองเลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราควรต้องย้อนกลับมามองวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันทีมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั้งในการอยู่เป็นเพื่อน (ที่สอนให้เรารู้จักความก้าวร้าว) เป็นพี่เลี่ยง (เมื่อเวลาที่พ่อแม่ไม่อยากให้เราอยู่ใกล้) พ่อแม่เป็นเพียงเครื่องหารายได้ เพื่อปรนเปรอความต้องการของลูกหลานในทุกๆ เรื่องเท่านั้น ครอบครัวขาดการพูดคุย ถึงเหตุการณ์ในแต่ละวัน เพื่อการอบรมบ่มนิสัย และบ่มเพาะจริยธรรมให้กับบุตรหลานกันหรือเปล่า
ครูจา
Sep 07
จากประสบการณ์ในการสอน พบว่าเด็กๆในปัจจุบันมีแนวโน้ม อ่านออกเขียนได้ช้าลง ซึ่งมักส่งผลกับการเรียนในทุกวิชาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากปัจจัยหลายๆด้าน
ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากตัวเด็กเองที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (ซึ่งพบไม่บ่อยนักที่เกิดจากตัวเด็กเอง) หรือการเข้าเรียนก่อนวัยอันควรซึ่งส่งผลให้พัฒนาการช้ากว่ากลุ่มเพื่อนจนเกิดเป็นความไม่มั่นใจ เก็บตัว แต่ปัจจัยหลักที่พบเห็นได้อย่างชัดเจนในปัจจุบันนั้นมักเกิดเนื่องมาจากเทคโนโลยี เราจะสังเกตเห็นว่าเครื่องมือทางเทคโนโลยีมีบทบทมาก ไม่ว่าจะอยู่มุมไหน บริเวณไหน เราจะพบเห็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่มี tablet หรือโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา ซึ่งดูกลายเป็นเรื่องปกติ
ผู้ที่จะลดบทบาทของเทคโนโลยีได้ก็มีแต่พ่อแม่ผู้ปกครองเท่านั้น เปรียบเหมือนกับ ครูกับเทคโนโลยีอยู่กันคนละฝั่ง โดยมีเด็กอยู่ตรงกลาง แค่ลำพังเทคโนโลยี ครูก็ต้องใช้พลังพอสมควรเพื่อที่จะได้เสมอกับเทคโนโลยี คราวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองที่จะเลือกฝั่งให้กับเด็กว่าจะช่วยฉุดให้เด็กไปด้านไหน หากพ่อแม่ผู้ปกครองเลือกที่จะส่ง tablet ให้กับบุตรหลาน ก็ไม่มีทางที่ฝั่งของครูจะชนะได้ แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองเทแรงมาที่ฝั่งครูโดยให้เด็กรู้จักหน้าที่ มีระเบียบวินัย ดูแลเอาใจใส่ด้านการเรียนของบุตรหลาน เพียงเท่านี้พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ต้องนั่งกลุ้มใจภายหลัง ว่าจะแก้ปัญหาด้านการเรียนของบุตรหลานอย่างไร
ครูจา
Oct 06
หากเราสังเกตกันดี ๆ จะพบว่าทุกวันนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำอะไร หรือตัดสินใจอะไรได้เร็วขึ้น ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหน ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างเพศ ต่างวัยกัน จะพบว่าจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นไปแล้ว นั่นคือโทรศัพท์มือถือ แต่บางครอบครัวมีมากกว่านั้น นอกจากมือถือแล้วยังมี iPad หรือ tablet เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในเรื่องการหาข้อมูล การติดต่อสื่อสารถึงกัน ใน Social network นั่นเอง
เมื่อพิจารณากันดี ๆ แล้ว เราจะพบว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยนั้น เป็นดาบสองคม นั่นคือ หากผู้ใช้มีวุฒิภาวะ เขาก็จะสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกันหากผู้ใช้ไม่มีวุฒิภาวะ ก็เป็นดาบที่หันกลับมาทำร้ายตนเองได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างที่เราเห็นกันจนชินตา หรือได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่มีความอดทนเลย ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักการรอคอย ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่มีความพยายาม คำถามต่าง ๆ เหล่านี้มักออกมาจากปากพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเค้าเหล่านั้น หากเรามามองย้อนกลับไปดี ๆ เราจะพบสาเหตุที่เป็นสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียว นั่นคือวิธีการเลี้ยงดูเขาเหล่านั้นแทบทั้งสิ้น
ทำไมการเลี้ยงดูของคนสมัยใหม่จึงเป็นสาเหตุหลักของปัญหา หลาย ๆ ครอบครัวที่เราพบเห็นตามห้างสรรพสินค้า เรามักพบว่าพ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำงานในวันทำงาน เมื่อมีเวลาวันหยุดก็จะพาลูกไปตามโรงเรียนกวดวิชาเพื่อหวังให้เขาเหล่านั้นมีผลการเรียนดี มีอนาคตที่ดี ส่วนตนเองก็อยู่กับโทรศัพท์มือถือ ท่สามารถติดต่อสื่อสารผ่าน network ที่ทันสมัย ทำให้ตนเองมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใน Social network ที่สร้าง(ภาพให้ดูดี)ขึ้นมา ตลอดเวลา หลังจากเลิกเรียนกลับบ้าน ก็ส่งเกมส์ให้ลูกเล่น เพื่อเป็นการผ่อนคลายหลังเลิกเรียนอย่างเคร่งเครียดมาตลอดวัน และลูกยังสามารถอยู่ในกลุ่มเพื่อนได้อย่างไม่อายใคร เพราะเราก็มี iPad เล่นเกมส์โน้นนี้เหมือนกัน
จากความคิด หรือทัศนคติของผู้ปกครองส่วนใหญ่ดังกล่าว มันเป็นการติดกับเทคโนโลยี แทนที่เราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นภัยมหันต์ ทั้งกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งมีการสนทนากัน พูดคุยถึงปัญหา แบ่งปันความเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่น้อยลงเรื่อย ๆ และยังเป็นการบ่อนทำลายทั้งสมาธิ ความสามารถในการเรียนรู้ และบั่นทอนเวลาการฝึกทักษะต่าง ๆ ให้สั้นลงอีก ทำให้ช่วงเวลาที่เขาควรเก็บเกี่ยวประสบการณ์ (จากพ่อแม่จากการพูดคุย) และทักษะการดำเนินชีวิต (ทักษะในการใช้กล้ามเนื้อต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม เรียนรู้กฎ กติกา มารยาทต่าง ๆ)
หากเลือกได้ระหว่าง 2 โปรโมชั่นคุณจะเลือกอะไร ระหว่าง 1. new iPad + ลูก(ติดเกมส์ ไม่เอาใจใส่ในการเรียน หรือเด็กพิเศษ)
หรือ 2. ครอบครัวที่ไม่มี iPhone หรือ iPad + ความเป็นครอบครัวที่มีความสุข โดยมีลูกที่ไม่มีคำว่า เด็กพิเศษติดตามตัวตลอดเวลา
ครูจา
Feb 17
Posted by malinee on Thursday Feb 17, 2011 Under เกร็ดความรู้
จากหนังสือเรื่อง ‘Don’t Give Me That Attitude’ โดย Dr. Michele Borba เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาของ พฤติกรรมเด็กในปัจจุบัน โดยมีการจำแนกประเภทของทัศนคติที่แย่ลงของเด็กตามกลุ่ม คือ หยาบคาย , ขี้เกียจ , ไม่ใส่ใจในเรื่องการเรียน
ก่อนอื่นมาดูสาเหตุก่อนว่า ทำไมในปัจจุบันเราจึงพบพฤติกรรมดังกล่าวมากขึ้น ประการแรก ในปัจจุบันเราจะพบว่ามีสิ่งกระตุ้นมากมายที่มีผลต่อพฤติกรรม คือ สื่อ ซึ่งสื่อต่าง ๆ ในปัจจุบัน มักจะแฝงความก้าวร้าว หยาบคาย การแก่งแย่ง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ประการที่สอง คือ เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งทำให้คนในปัจจุบันได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่กลับทำให้เกิดขีดจำกัดในเรื่องของความอดทน การรอคอย ซึ่งส่งผลให้เกิดความเร่งรีบในทุก ๆ เรื่อง อย่างในบางเรื่องที่ควรฝึกฝนเด็กเพื่อให้เกิดนิสัย หรือวินัย ก็ถูกมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ซึ่งผู้ใหญ่มักจะทำให้เด็กเองโดยคิดว่าจะได้ไม่เสียเวลาเพราะผู้ใหญ่สามารถทำให้เด็กแล้วใช้เวลาน้อยกว่า จนเด็กไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรด้วยตนเอง แม้แต่เรื่องง่าย ๆ เช่น การวางเสื้อผ้าในตะกร้าที่จะซัก
จากสาเหตุหรืออิทธิพลต่าง ๆ จึงกลายเป็นการสร้างนิสัย หรือ พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์เมื่อเขาโตขึ้น ดังนั้นหากเราคิดจะแก้ปัญหาต่าง ๆ เราควรเริ่มที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องช่วยกันฝึกหรือปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก
จาก Ezine.com