Dec 22
Posted by malinee on Thursday Dec 22, 2016 Under เกร็ดความรู้
หลังจากที่เด็กๆ เปิดภาคเรียนมาได้เดือนกว่าๆมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่เด็กๆ จะต้องมีการสอบกลางภาค เพื่อเป็นการประเมินผลการเรียนรู้ในสิ่งที่ได้เรียนกันมาแล้ว คะแนนที่ออกมาจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเด็กแต่ละคนเข้าใจบทเรียนมากน้อยเพียงใด
คะแนนที่ได้จากการประเมินจะเป็นตัวชี้วัดได้ว่า เด็กๆ มีความเข้าใจในการเรียนมากน้อยเพียงไร
ในบางครั้งปัญหาในการเรียนของเด็กๆ อาจเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถตีความสิ่งที่โจทย์ต้องการได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา คณิตศาสตร์) สาเหตุดังกล่าวมักเกิดจากการขาดการเตรียมความพร้อมในเรื่องภาษา ทั้งภาษาไทย (ในเด็กที่เรียนในแบบบูรณาการไปยังโรงเรียนแบบเร่งเรียน) และภาษาอังกฤษที่ (มักเกิดปัญหาในเด็กที่ย้ายโรงเรียนจากแบบไทย สู่โรงเรียนแบบไบลิงกัว) ซึ่งโรงเรียนสองภาษาในปัจจุบันเน้นให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย เมื่อเด็กๆ ติดปัญหาด้านภาษา ก็เป็นสิ่งที่ดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะส่งเสริมให้เด็กเรียนภาษาเพิ่ม สำหรับเด็กที่เรียนในโรงเรียนไทยปกติ เป็นเรื่องทีดี เนื่องจากภาษาไทยเป็นพื้นฐานของการเรียนในทุกๆ วิชา
ในขณะที่เด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ เปลี่ยนจากโรงเรียนเป็นโรงเรียนสองภาษา เด็กๆ ไม่ได้ถูกเตรียมความพร้อมให้อ่านและแปลความในภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนเสาะหาที่เรียนภาษาอังกฤษให้กับบุตรหลานที่แล้วที่เล่า แต่การเรียนภาษาอังกฤษโดยทั่วไป แยกได้เป็น 3 แบบคือ การเรียนการอ่านออกเสียง ซึ่งต้องเริ่มจากการเรียนเสียงของตัวอักษรทีละตัว ซึ่งในการเรียนในแนวนี้แก้ปัญหาได้ช้ามาก หรืออาจไม่ได้เลย เนื่องจากการเรียนในโรงเรียนจะล้ำหน้าและมีศัพท์เฉพาะมากมาย โดยเฉพาะอ้ย่างยิ่งการเรียน คณิตศาสตร์ กับการเรียนในแนวที่สอง คือการเรียนในแนวของการสนทนา และในแบบสุดท้ายคือการเรียนหลักไวยากรณ์ ซึ่งการเรียนในแนวทั้งสามนั้นไม่ใช่วิธีแก้ที่ถูกทางนัก ซึ่งหลายๆ ครอบครัวก็หว่านการเรียนของบุตรหลานไปทุกๆ แนวทาง ส่งผลให้เด็กเกิดความเหนื่อยล้ากับการเรียน ทำให้หลังจากการเรียนเด็กๆ ก็ไม่ต้องการนำมาทบทวนเพิ่มเติมอีก ทำให้การเรียนไม่ได้พัฒนาได้ ความเหนื่อยล้าส่งผลให้เด็กไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ใดๆ ทั้งสิ้น เปรียบเหมือนกับแก้วที่มีน้ำรินอยู่ปากแก้วแล้ว ไม่ว่าจะเติมไปมากเท่าไร น้ำก็ล้นออกมาเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดความเครียดทั้งตัวเด็กและพ่อแม่ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลให้เด็กไม่มีความสุขในการเรียน
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของใคร พ่อแม่ผู้ปกครองก็มีแต่ความปรารถนาดีให้กับบุตรหลานของตนด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ในยุคปัจจุบันมีแนวการเรียนอยู่มากมาย พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาหรือเตรียมคว
Sep 07
จากประสบการณ์ในการสอน พบว่าเด็กๆในปัจจุบันมีแนวโน้ม อ่านออกเขียนได้ช้าลง ซึ่งมักส่งผลกับการเรียนในทุกวิชาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากปัจจัยหลายๆด้าน
ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากตัวเด็กเองที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (ซึ่งพบไม่บ่อยนักที่เกิดจากตัวเด็กเอง) หรือการเข้าเรียนก่อนวัยอันควรซึ่งส่งผลให้พัฒนาการช้ากว่ากลุ่มเพื่อนจนเกิดเป็นความไม่มั่นใจ เก็บตัว แต่ปัจจัยหลักที่พบเห็นได้อย่างชัดเจนในปัจจุบันนั้นมักเกิดเนื่องมาจากเทคโนโลยี เราจะสังเกตเห็นว่าเครื่องมือทางเทคโนโลยีมีบทบทมาก ไม่ว่าจะอยู่มุมไหน บริเวณไหน เราจะพบเห็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่มี tablet หรือโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา ซึ่งดูกลายเป็นเรื่องปกติ
ผู้ที่จะลดบทบาทของเทคโนโลยีได้ก็มีแต่พ่อแม่ผู้ปกครองเท่านั้น เปรียบเหมือนกับ ครูกับเทคโนโลยีอยู่กันคนละฝั่ง โดยมีเด็กอยู่ตรงกลาง แค่ลำพังเทคโนโลยี ครูก็ต้องใช้พลังพอสมควรเพื่อที่จะได้เสมอกับเทคโนโลยี คราวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองที่จะเลือกฝั่งให้กับเด็กว่าจะช่วยฉุดให้เด็กไปด้านไหน หากพ่อแม่ผู้ปกครองเลือกที่จะส่ง tablet ให้กับบุตรหลาน ก็ไม่มีทางที่ฝั่งของครูจะชนะได้ แต่หากพ่อแม่ผู้ปกครองเทแรงมาที่ฝั่งครูโดยให้เด็กรู้จักหน้าที่ มีระเบียบวินัย ดูแลเอาใจใส่ด้านการเรียนของบุตรหลาน เพียงเท่านี้พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ต้องนั่งกลุ้มใจภายหลัง ว่าจะแก้ปัญหาด้านการเรียนของบุตรหลานอย่างไร
ครูจา
May 03
ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดแนวโน้มของเด็กก็เปลี่ยนไป นั่นคือในปัจจุบันเราจะพบว่าเด็กมีแนวโน้มเป็นเด็กพิเศษกันมากขึ้น ครั้งนี้จะขอกล่าวถึงกรณีที่พ่อแม่ผู้ปกครองสงสัยว่าบุตรหลานเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือไม่
เนื่องจากแนวโน้มของเด็กในปัจจุบันที่มีมากขึ้นที่เกิดภาวะสมาธิสั้นนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆคน ก็มีความกังวลว่าบุตรหลานของตนเองจะเข้าข่ายสมาธิสั้น จึงมีการปรึกษา หากไปปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็กก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร เนื่องจากแพทย์จะสามารถแนะนำวิธีการปรับพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่ร่วมกับการใช้ยา พร้อมกับการติดตามผล เป็นระยะ และมีการปรับขนาดของยาตามอาการ แต่ในหลายๆ รายไม่ปรึกษาแพทย์แต่ซื้อยามาให้บุตรหลานรับประทานเอง เพื่อหวังว่ายาจะสามารถปรับสมาธิของบุตรหลานของตน โดยไม่ผ่านการวินิจฉัยของแพทย์ เนื่องจากแพทย์จะใช้ยาในเฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น การให้ยาดังกล่าวกับเด็กนั้น ไม่ว่าจะเป็นยาประเภทใด จะต้องวินิจฉัยจากน้ำหนักตัว และความรุนแรงของอาการเป็นสำคัญ และยาประเภทดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาท ซึ่งผลที่ได้คือเด็กนิ่งขึ้น เนื่องจากยาไปกดระบบประสาท ดังนั้นในการใช้ยาในเด็กควรได้รับการเห็นชอบหรือสั่งจ่ายจากแพทย์จะปลอดภัยกว่า ซึ่งในบางราย เด็กอาจ เป็นเด็กที่ซนตามธรรมชาติ แต่เพียงเพื่อต้องการให้เด็กมีสมาธิ หรือนิ่งในการเรียนในห้องเรียน จึงใช้ยาเป็นตัวช่วย สิ่งที่ตามมาจะไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียไป
ครูจา
Jun 04
จากกระแสที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูตอนนี้ นั่นก็คือ รายการไทยแลนด์ ก๊อต ทาเลนท์ 2013 ที่มีการออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการสัญญาณหลาย ๆ อย่างมายังสังคม หากกรณีนี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่ใช่เจตนาของผู้จัดรายการ ก็สามารถสื่อให้เห็นได้ว่า สังคมไทยมันอยู่ในช่วงขาลงมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว มันเป็นสัญญาณของบ่งบอกถึงทัศนคติการดูแล เอาใจใส่ หรือ การเลี้ยงดู แต่สิ่งที่บ่งบอกชัดเจนคือ ผู้จัดรายการใช้สื่อโดยไม่นึกถึงผลกระทบของสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากรายการนี้เป็นรายการที่สามารถตัดต่อเทปได้ แต่ทางผู้จัดก็ไม่คิดจะตัดตอนนี้ออกไป อีกทั้งรายการนี้เป็นรายการในช่วงเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มักอยู่หน้าจอทีวี แต่เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ในการสร้างกระแสเพื่อให้รายการเป็นที่กล่าวขวัญอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ปกครองหลาย ๆ คนที่ปล่อยเด็ก ๆ ไว้หน้าทีวี โดยการเลือกช่วงเวลาของเด็ก ๆ ควรจะอยู่หน้าจอทีวี (ที่ผู้จัดรายการขาดสำนึกผู้รับผิดชอบต่อสังคม) ผู้ปกครองควรจะอยู่กับบุตรหลานเพื่อคอยชี้แนะ ทั้งในสิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดี เนื่องจากเด็ก ๆ ยังไม่สามารถเลือกเสพแต่รายการดี ๆ ได้ด้วยตนเอง
Dec 12
จากที่กล่าวมาแล้ว ก็จะพบว่าไม่ว่าจะเป็น IQ (ความฉลาด สติปัญญา) หรือ EQ (ความฉลาดทางอารมณ์) ต่างก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ดังนั้นเพื่อพัฒนาการที่ดีทั้งทางด้านอารมณ์และสติปัญญา เด็ก ๆ ควรจะได้รับการส่งเสริมทั้งสิ้น
นอกจาก 2Qs ดังกล่าวแล้ว สิ่งที่สำคัญลำดับต่อไป นักวิชาการมักเรียกว่า “AQ “ (Adversity quotient) ซึ่งหลาย ๆ คนเข้าใจว่า AQ เป็นเพียงความมุ่งมั่นในการทำให้สำเร็จ ความพยายามที่จะทำสิ่งที่ท้าทาย แต่ AQ หมายรวมถึง การเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส หรือ แม้กระทั่งการรู้จักยอมรับความผิดหวัง
จากคำจำกัดความต่าง ๆ ข้างต้น เราสามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริม AQ ได้ ตัวอย่าง การจัดกิจกรรมสำหรับเด็กที่อยู่ในช่วงก่อนวัยเรียน เราสามารถหากิจกรรมที่ท้าทายความสามารถให้เหมาะกับอายุได้ เช่นการให้เด็กร้อยเชือกผ่านชิ้นงานในแบบต่าง ๆ โดยมีต้นแบบให้ และเพิ่มความยากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และความสนุก เมื่อได้ทำกิจกรรมที่ยากขึ้น ก็เป็นการส่งเสริมความพยายามที่จะทำให้สำเร็จได้ หรือเมื่อเข้าสู่วัยเรียน เด็ก ๆ ก็จะต้องเข้าเล่น หรือทำกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งในการเล่นย่อมจะมีผู้แพ้ และผู้ชนะ ทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงความผิดหวังบ้าง และเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็สามารถยอมรับ และเผชิญกับปัญหาได้มากขึ้น
แต่ในทางกลับกัน หากครอบครัวใดไม่เคยส่งเสริมพัฒนาการทาง AQ อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าการตามใจ หรือให้ความช่วยเหลือจนเกินขอบเขตเป็นการบ่อนทำลายภูมิต้านทานเพื่อให้เขาได้เรียนรู้ถึงความลำบาก ความพยายาม ความผิดหวัง หรือแม้กะทั่งการยอมรับในความพ่ายแพ้ เมื่อเขาเหล่านั้นโตขึ้น เข้าสังคมที่ใหญ่ขึ้น โดยไม่มีใครสามารถปกป้องเขาได้อีก เขาจะรู้สึกท้อแท้ ผิดหวัง จนมีโอกาสที่จะทำอะไรโดยขาดสติยั้งคิดได้ หากวันนี้เรายังคงพอมีเวลา เราควรหันกลับมาส่งเสิรมพัฒนาการทางด้านนี้ เพื่อให้เขาเติบโตในสังคมได้อย่างมีความสุข
ครูจา
May 07
จากตอนที่ 2 ที่มุ่งเน้นให้เด็กมีการเรียนรู้โดยการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับวัยทารก แต่เด็กแต่ละคนก็จะมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ในการเรียนรู้ของเขา แต่มีงานวิจัยต่าง ๆ ที่สนับสนุนว่า หากเด็ก ที่เข้าโรงเรียนโดยมีทัศนคติในเชิงบวก และมีการฝึกทักษะ (นั่นคือการเคลื่อนไหวในวัยทารก) แล้ว เขาจะมีทักษะในการเรียนรู้ที่ดี และมีความก้าวหน้าในการเรียนที่ดี ซึ่งเด็กทุกคนจะมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ หรือความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นธรรมชาติของเด็กอยู่แล้ว เพียงแต่เรามีหน้าที่ที่จะต้องกระตุ่นหรือสร้างบรรยากาศให้เหมาะสม
เด็กวัยอนุบาล มักมีการเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน การเข้าสังคม และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ซึ่งเราสามารถให้ความช่วยเหลือให้เกิดการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ดังนี้
– กระตุ้นให้ทำสิ่งใหม่ให้สำเร็จ โดยให้ความช่วยเหลือเมื่อเขาต้องการ แต่ความช่วยเหลือที่ให้ต้องไม่เกินขอบเขต สิ่งที่เด็กจะได้รับ คือประสบการณ์ที่จะคิดและทำในสิ่งใหม่ให้สำเร็จ
– สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้น่าสนใจ เพื่อเพิ่มหรือเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนรู้
– การฝึกให้เด็กหัดสังเกต สิ่งแวดล้อม อาจทำได้ง่าย ๆ โดยการถามถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วในวันนั้น ๆ เช่นการถามว่าวันนี้คุณครูใส่เสื้อสีอะไร เพื่อกระตุ้นให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต
– ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาทำ หรือยินดีเมื่อเขาทำสำเร็จ เด็ก ๆ ทุกคนมักจะภูมิใจกับสิ่งที่ตนเองเริ่มทำ และทำสำเร็จ ซึ่งเป็นประสบการณ์ในเชิงบวก และนอกจากนี้ ยังทำให้เขาเกิดความมั่นใจ กล้าทำในสิ่งใหม่ ๆ แต่หากเขาทำไม่สำเร็จ ต้องให้กำลังใจ ถึงแม้สิ่งที่เด็กได้รับจะไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เขาก็จะได้กระบวนการเรียนรู้ และ ความพยายามที่จะติดตัวเขาไป
– พูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้มีทักษะในการลำดับเหตุการณ์ และการใช้ภาษา โดยปล่อยให้เขาได้คิดอย่างอิสระ แก้ข้อบกพร่องให้น้อยที่สุด เพื่อให้เขาได้กล้าคิด กล้าพูดในสิ่งที่ต้องการ
– สร้างสถานการณ์ผ่านกิจกรรม ให้เขาได้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง
– หากิจกรรมประเภท การแยกประเภท สี ขนาด เพื่อฝึกการพิจารณาสิ่งของในแบบรูปต่าง ๆ ให้เขาสามารถแยกความแตกต่างของรูปทรงต่าง ๆ
หากเราสามารถสร้างกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ หรือเสริมทักษะ เขาก็จะยังคงมีธรรมชาติของการอยากเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น แต่หากเด็กไม่ได้พัฒนาการเรียนรู้ให้สนุก สิ่งที่ติดตัวเด็กมา (ความอยากรู้อยากเห็น การชอบการเรียนรู้) ก็จะหายไปในที่สุด
ครูจา
Oct 06
เด็กยุคใหม่หัวใจอินเตอร์ ร้อยละ 70 – 80 ของครอบครัวยุคนี้ เปิดโอกาสให้ลูกหลานของตัวเองได้ใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีสูงกันอย่างกว้างขวางไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กอนุบาล ทำให้คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของสิ่งของนอกกายมากกว่าคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งหากพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถให้ความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้รู้เท่าทันและรู้จักเลือกใช้ไปในทางสร้างสรรค์ เช่นเพื่อการหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ก็จะทำให้เด็ก ๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเครื่องมือดังกล่าว แต่เท่าที่เห็นในสังคมไทยเรานั้น การมีเทคโนโลยีดังกล่าว ก็เพียงเพื่อให้ตนเองได้ใช้มันเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาตนเองว่า “เราก็มีเหมือนกับคนอื่น ๆ” ซึ่งแท้จริงแล้วถามว่าได้นำเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์นั้น ๆ ไปใช้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่ากับราคาแล้วหรือยัง? หรือเพียงแต่ถือพกให้ดูโก้เก๋เท่านั้น ซึ่งค่านิยมดังกล่าวนี้เป็นเพียงเปลือกให้กับคนที่ไม่มีหลักยึดใดๆ จำเป็นต้องอาศัยทรัพย์สมบัติหรือสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อให้ตนเองมีความรู้สึกว่าตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคม เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปก็จะต้องพยายามที่เกาะติดสถานการณ์ไม่ให้หลุดกระแสนิยม ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ มาจากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา และไทยก็เสียดุลการค้าตลอดเวลาเช่นกัน
ค่านิยมของเด็กรุ่นใหม่ก็เช่นกัน เด็กรุ่นใหม่เกิดอยู่บนสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ หนำซ้ำบางบ้านยังมีพี่เลี้ยงคอยประเคนทำทุกอย่างให้ เวลาที่เด็กอยากได้อะไรก็ได้มาโดยง่าย ทำให้เด็กในปัจจุบันส่วนใหญ่ขาดความพยายาม และความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ขาดความอยากรู้อยากเห็น เพราะมุ่งความสนใจของตนเองไปอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ที่มาประดับตกแต่งตนเองให้ดูดี สิ่งเหล่านี้เกิดเพียงเพราะผู้ใหญ่ปลูกฝังค่านิยมที่ผิดๆ ให้กับเค้าตั้งแต่ในวัยเด็กโดยไม่รู้ตัว หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ครั้นเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการเรียนที่ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผู้ปกครองไม่ได้สอนให้เด็กคิดอย่างเป็นระบบอย่างเป็นเหตุเป็นผล เด็กก็ไม่ยอมคิดและมองไม่เห็นประโยชน์ในการเรียน เด็กเห็นแต่สิ่งของมีค่านอกกายให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมภายนอก เด็กจึงเกิดความเบื่อหน่าย ท้อแท้ในการเรียน ปัญหาที่ตามคือปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม และทวีความรุนแรงเป็นปัญหาสังคมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่ใครจะมาแก้ไขทันเพราะมันกลายเป็นปมขนาดใหญ่ที่ถูกมัดติดกันหลายๆ ครั้งจนยากที่จะแก้ไข
ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้เราสามารถร่วมมือกันแก้ไขได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ โดยผู้ใหญ่จะต้องตระหนักว่าลูกหลานของเราจะต้องเติบโตขึ้นเพื่อเป็นผู้ใหญ่ต่อไปในอนาคต และหากพวกเขาเหล่านั้นติดอยู่กับเทคโนโลยีที่เราจะต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศตลอดเวลาเช่นนั้น แล้วประเทศจะเหลืออะไร อนาคตลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ในฐานะของผู้ใหญ่ คือ เปลี่ยนวิถีชีวิตให้กลับมาเป็นแบบพึ่งตนเองและพอเพียง
……………….อนาคตของประเทศชาติและลูกหลานของเราอยู่ในมือของเราทุกคน…………………….
Sep 06
Posted by malinee on Tuesday Sep 6, 2011 Under กิจกรรม
ขอแสดงความยินดีกับครูและเด็ก ๆ ทุกคน ที่ได้รับรางวัล การแข่งขันคณิตคิดเร็วและภาษาอังกฤษชิงแชมป็ประเทศไทยครั้งที่ 12 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2554 ณ ม.เอเชียอาคเนย์ ส่วนเด็กที่ไม่ได้รับรางวัล เราก็ยังได้ประสบการณ์ในการแข่งขัน ได้เรียนรู้ถึงการรู้จักแพ้ชนะ และได้แสดงออกถึงความสามารถที่แต่ละคนได้ฝึกฝนมา เป็นอย่างดี ขอให้เด็ก ๆ มีความมานะ พยายาม ในการฝึกฝนต่อไปนะจ๊ะ
Aug 25
ในวันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2554 ทางโรงเรียนจัดให้มีการซ้อมใหญ่เพื่อแข่งขันจินตคณิตคิดเร็ซขึ้น ในเวลา 15 : 30 – 16:15 น. หากท่านใดสนใจดูคลิป เข้าชมได้ที่ facebook “จินตคณิต ลูกคิดญี่ปุ่น”
Feb 17
Posted by malinee on Thursday Feb 17, 2011 Under เกร็ดความรู้
จากหนังสือเรื่อง ‘Don’t Give Me That Attitude’ โดย Dr. Michele Borba เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาของ พฤติกรรมเด็กในปัจจุบัน โดยมีการจำแนกประเภทของทัศนคติที่แย่ลงของเด็กตามกลุ่ม คือ หยาบคาย , ขี้เกียจ , ไม่ใส่ใจในเรื่องการเรียน
ก่อนอื่นมาดูสาเหตุก่อนว่า ทำไมในปัจจุบันเราจึงพบพฤติกรรมดังกล่าวมากขึ้น ประการแรก ในปัจจุบันเราจะพบว่ามีสิ่งกระตุ้นมากมายที่มีผลต่อพฤติกรรม คือ สื่อ ซึ่งสื่อต่าง ๆ ในปัจจุบัน มักจะแฝงความก้าวร้าว หยาบคาย การแก่งแย่ง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ประการที่สอง คือ เทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งทำให้คนในปัจจุบันได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่กลับทำให้เกิดขีดจำกัดในเรื่องของความอดทน การรอคอย ซึ่งส่งผลให้เกิดความเร่งรีบในทุก ๆ เรื่อง อย่างในบางเรื่องที่ควรฝึกฝนเด็กเพื่อให้เกิดนิสัย หรือวินัย ก็ถูกมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ซึ่งผู้ใหญ่มักจะทำให้เด็กเองโดยคิดว่าจะได้ไม่เสียเวลาเพราะผู้ใหญ่สามารถทำให้เด็กแล้วใช้เวลาน้อยกว่า จนเด็กไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรด้วยตนเอง แม้แต่เรื่องง่าย ๆ เช่น การวางเสื้อผ้าในตะกร้าที่จะซัก
จากสาเหตุหรืออิทธิพลต่าง ๆ จึงกลายเป็นการสร้างนิสัย หรือ พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์เมื่อเขาโตขึ้น ดังนั้นหากเราคิดจะแก้ปัญหาต่าง ๆ เราควรเริ่มที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องช่วยกันฝึกหรือปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก
จาก Ezine.com