Jun 07
เสาร อาทิตย์นี้แล้ว ที่เด็กๆ จะต้องสอบคัดเลือกเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ4 หลังจากการถูกเลื่อนการสอบกันมาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเด็กๆหลายคนมีการเตรียมพร้อมกันมาเป็นเวลานาน เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคCOVID19 จึงทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงชั่วขณะ เด็กหลายๆ คน ถ้าทางบ้านมีเวลาดูแลเอาใจใส่ก็ยังอาจมีเวลาในการทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมตัวตลอดเวลา แต่หลายๆ ครอบครัว มิได้เป็นเช่นนั้น เด็กๆ เนื่องจากความเป็นเด็ก ก็จะไม่เลือกที่จะหยิบจับหนังสืออยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหาวิธีในการแก้ปัญหา โดยการให้บุตรหลานเรียนออนไลน์ ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่สามารถทำได้ในสถานการณ์ช่วงนี้แต่ การเรียนนั้นเป็นการทบทวนบทเรียนวิธีหนึ่ง แต่การเรียนนั้นอย่างมากก็ทำได้วันละไม่เกิน2 ชัวโมง หลังจากการเรียน ไม่ว่าจะเป็นนการเรียนวิชาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนคณิตศาสตร์ หากไม่ทบทวนหรือเริ่มกระบวนการคิดด้วยตนเอง ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
การเรียนคณิตศาสตร์นั้น เป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา ในระหว่างการเรียน ถ้าเป็นเรื่องใหม่ๆ การเรียน เราจำเป็นจะต้องวิเคราะห์ไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และมีการให้แบบฝึกหัดเพื่อทบทวนบทเรียน เพื่อฝึกกระบวนการคิดอย่าเป็นระบบ และเมื่อเรียนในครั้งต่อไปจะสามารถต่อยอดไปเรื่องใหม่ได้ แต่เด็กๆ ส่วนใหญ่ เมื่อเรียนจบคือทิ้ง ไม่ทวน แล้วเวลาเรียนก็กลายเป็นว่าต้องเริ่มใหม่ทุกครั้ง ไม่พยายามคิดด้วยตัวเอง ไม่เริ่มที่จะคิด บ่มเพราะจนกลายเป็นนิสัยเป็นเด็กเฉื่อย ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่มีความพยายาม ไม่คิดที่จะเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ การเรียนรู้กลายเป็นว่าต้องมีคนป้อน ต้องมีคนสอน ไม่สามารถอ่านหนังสือหรือทบทวนเนื้อหาบทเรียนได้ด้วยตนเอง ลองสังเกตบุตรหลานของตัวเองว่่า คุณให้เขาเรียนแล้วเขาได้เคยนำบทเรียนมาทบทวนหรือไม่ หรือ ให้เรียนทุกวันจนทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเรียน แล้วหลังจาการเรียนที่เหนื่อยล้าคือเวลาที่เป็นเวลาที่จะต้องพักสะทีและการพักของเด็กก้อไม่พ้นการเล่นเกม..
#เรียนเยอะไม่แปลว่าเก่ง
#เรียนแล้วเก็บไม่ทวนไม่แปลว่าทำได้
#เป็นกำลังให้เด็กทุกคน
#สถาบันคิดสแควร์
May 24
ตอนนี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมคงหนีไม่พ้นเรื่องของการเรียนออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดทำให้การเปิดเทอมของเด็กต้องยืดเยื้อออกไป จริงที่ว่าการเรียนของเด็กๆ ไม่ควรหยุดชะงัก แต่การเรียนออนไลน์ของเด็ก ต้องพิจารณาถึงวัยของเด็กด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ที่ไหนๆ จะเป็นการเปิดสอนในระดับมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น หากเป็นในระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมจะเป็นการเรียนแบบ home school ซึ่งเป็นการนำหลักสูตรจากประเทศต่างๆ มาเป็นแนวการเรียนการสอน โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นเสมือนครูผู้สอน
การเรียนการสอนออนไลน์ ยิ่งเด็กยิ่งเล็ก ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องด้วยวัย ที่ทำให้เรื่องของสมาธิที่ที่จดจ่ออยู่กับเรื่องบางเรื่องนานๆ เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้แล้ววิชาบางวิชาอย่างคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะขึ้นเรื่องใหม่ๆ ให้กับเด็ก เช่นถ้าเด็กกำลังเริ่มที่จะเรียนการคูณเลขสองหลักคูณสองหลัก การทำความเข้าใจกับเด็กให้มีความเข้าใจ ต้องมีการ recheck กันหลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเด็กมีความเข้าใจจริงๆ ถึงจะให้การบ้านได้ แล้วลองนึกภาพของการสอนเรื่องการวัดมุมกันนะคะ ขนาดสอนกันแบบเห็นกันเป็นตัวเป็นตนยังต้องใช้เวลาเลยแล้วนึกสภาพการเรียนออนไลน์ ถ้าเป็นการเรียนแบบกลุ่ม ไม่มีทาง ที่ทักษะเด็กแต่่ละคนจะเท่ากันได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในวัยเดียวกันก็ตามเพราะฉะนั้นการเรียนออนไลน์ไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคนและไม่ใช่ทุกวิชาที่จะสามารถสอนออนไลน์ได้
ดังนั้นการเรียนออนไลน์ในช่วงนี้ของเด็กเล็กเป็นเพียงช่วงเวลาที่รอสถานการณ์ของการแพร่ระบาดให้คลี่คลายเท่านั้น แต่การที่การศึกษาในช่วงของปฐมวัยจนถึงประถมน้ัินคงไม่อาจถูก disruption ด้วยระบบออนไลน์ได้ด้วยวัยและความพร้อมของเขา นอกจากนี้แล้วเด็กในวัยดังกล่าวไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่กับการสื่อสารทางเดียว เค้าควรได้มีการเรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัสให้ครบทั้ง 5 และมีการฝึกทักษะต่างๆผ่านระบบประสาทสัมผัสดังกล่าว เพื่อก่อให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์ และเพื่อค้นหาความสามารถ และความถนัดต่อไป…
#เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
#สถาบันคิดสแควร์
Feb 10
#นี่เราอยู่ระหว่างสงครามรึปล่าวเนี่ จากเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เราคงต้องย้อนกลับมาดูกันหน่อยมั้ยว่า โครงสร้างทางสังคมของเรามันผิดเพี้ยนไป ลักษณะเด่นของความเป็นคนไทยเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน รู้จักผิดชอบชั่วดี มีน้ำใจ เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่หลังจากเหตุการณ์ข่าวต่างๆที่ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ทั้งฆาตกรต่อเนื่อง นายสมคิด , ผ.อ. กอล์ฟ คดีปล้นทอง, ไอซํืหีบเหล็ก และล่าสุดนายทหารคลั่งที่โคราช
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นแนวโน้มของสังคมที่ใช้ความรุนแรงโดยขาดความยั้งคิด ในแต่ละคดีที่เกิดขึ้น เกิดจากความโลภ ใช้เงินเกินรายได้ที่มี อยากได้รับการยอมรับนับหน้าถือตา ประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องความสุขของตนในการใช้ชีวิตหรูหราบนสังคมออนไลน์ โดยการกู้หนี้ยืมสิน เมื่อถูกทวงหนักเข้าก็หาทางออกโดยการก่อคดีปล้น เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น
คดีของไอซ์หีบเหล็ก เป็นอีกคดีสะเทือนใจ จากข่าวที่มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ต้องถุูกฆ่า แล้วศพก็ถูกอำพรางโดยการใส่หีบเหล็กทิ้งไว้ในบ่อน้ำในบ้านที่ตนเองอยู่ โดยที่ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป แต่กลับก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคำให้การของคนที่ทำงานกับทางครอบครัวของไอซ์ อาจวิเคราะห์ได้ใว่าเค้าขาดการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ ไม่มีใครคอยอบรมบ่มนิสัย ประกอบกับการติดยาเสพติด ทำให้สมองในส่วนของความรู้จักยั้งคิดหายไป ใช้สัญชาตญาณในการดำรงชีวิตเพียงอย่างเดียว
คดีสุดท้าย คือคดีของนายทหารคลั่ง เป็นคดีที่สะเทือนใจที่สุดเพราะผู้ก่อคดีเป็นคนในเครื่องแบบ ซึ่งหน้าที่ของทหารคือป้องกันอริราษฎร์ศัครู แต่ในครั้งนี้ ทหารเองเป็นผู้หันปลายกระบอกปืนเข้าหาประชาชนที่ไม่ได้รู้เรื่อง เพียงเพราะคุณคิดว่าคุณอยู่ในโลกของเกมส์ออนไลน์ โดยที่คุณปล้นอาวุธครบมือ พร้อมอุปกรณ์ป้องกันตัว แล้วลงใน fb ประกาศตนว่ามีใครจะกล้าลุยกับคุณมั้ย นี่คือผลของจินตนาการจากเกมส์ออนไลน์ที่ออกมาบนโลกของความเป็นจริงกับคนอายุ 32 ที่มีวุฒิภาวะ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ที่เกิดขึ้นมันชี้ชัดแล้วว่า จินตนาการในเกมส์ออนไลน์ การฆ่าเป็นการเก็บแต้ม การขโมยอาวุธ เพื่อให้การเก็บแต้มมีประสิทธิภาพ คงเห็นแล้วนะว่าเกมส์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น.มันเกิดขึ้นกับคนที่มีวุฒิภาวะแล้ว แต่ถ้าคุณจะยังคงส่งเกมส์ลักษณะนะให้กับบุตรหลานที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ก็คงจะมีข่าวอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่ใช่แค่รายวันแล้ว คงต้องตามกันเป็นรายชั่วโมง
… ใส่ใจบุตรหลานของตนเองเถอะคะ ให้เวลากับเค้า อย่าให้เครื่องมือสื่อสารมาแทนทีี่เวลาของครอบครัว ที่เหลือจากหลังเวลาเลิกงานที่เหลือไม่ถึง 10 ชัวโมง มานั่งพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ เล่าประสบการณ์ของแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ สิ่งที่ลูกทำผิดก็อบรม สอนเค้า เรื่องการใช้ความรุนแรงต้องสอนลูก หรือให้เค้าได้แสดงความคิดเห็นหากจะมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่าเล็กๆ น้อยๆ ให้เค้าได้รู้ว่าเค้าเป็นส่วนหนึ่งและมีความสำคัญในครอบครัว แล้วเค้าจะไม่ไปพยายามเป็นคนสำคัญนอกบ้าน ไม่ไปแสวงหาความรักจากที่อื่น ถ้าที่บ้านมีให้เค้าจนเต็ม….
#ในนามสถาบันคิดสแควร์ขอแสดงความเสียใจกับครอบผู้เสียชีวิตในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
#ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานทุกท่านที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องทุกชีวิต
#อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย
#เคารพด้วยหัวใจ
#สถาบันคิดสแควร์
Apr 22
มีกระแสของการศึกษาที่มีอยู่เนืองๆ ว่าควรจะมีการยกระดับการศึกษาไทยให้มีคุณภาพดีทั่วประเทศเสียที หลายๆ คนอาจกล่าวว่า ระบบการศึกษาในโรงเรียนควรจะมีการบูรณาการตามความสามารถของเด็ก หรือตามความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความพร้อมและ ความสนใจที่แตกต่างกัน จึงควรมีการจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามความถนัดของเด็ก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงการคัดเลือกข้าราชการครูเข้ามารับหน้าที่ในการสอน ยังไม่ตรงกับความถนัด หรือสาขาวิชาที่เรียนมาเลยด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงคุณภาพของเด็กที่จะได้รับการเรียนการสอนที่ดีเลย นอกจากในส่วนของผู้สอนแล้ว ตัวผู้เรียนก็เป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพในการเรียนด้วย เราต้องยอมรับก่อนว่าเด็กก่อนวัยเรียนในแต่ละครอบครัวก็มีความแตกต่างกันแล้ว ครูไม่ได้กล่าวถึงความพร้อมด้านเศรษฐกิจ แต่ ณ ที่นี้จะกล่าวถึงหน้าที่ในการสร้างความพร้อมในการเรียนรู้ก่อนวัยเรียน เด็กหลายๆ คนถูกปล่อยปละ หรือขาดทักษะทางด้านร่างกาย ซึ่งหมายถึงกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ที่ส่งผลต่อทักษะในการเรียนรู้ในวัยเรียน ที่จะต้องใช้ทักษะพื้นฐานในช่วงก่อนวัยเรียน หลายๆ ครอบครัวที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การเล่นเกมส์เป็นการฝึกทักษะและภาษาให้กับเด็กโดยที่เด็กจะใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวในการเล่นเกมส์ ซึ่งต่างจากการเล่นของเล่นที่เป็นชิ้น ที่สามารถเสริมสร้างทั้งกล้ามเนื้อ ความสัมพันธ์ของการทำงานระหว่างมือกับตา อีกทั้งยังได้เรื่องของจิตนาการอีกด้วย
เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน ก็ไม่มีความพร้อมที่จะเรียน เนื่องจากกล้ามเนื้อไม่พร้อม สมาธิไม่ดี หรือแม้กระทั่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในเรื่องพื้นฐานที่ควรจะถูกฝึกจากบ้าน คิดเพียงแต่ว่าโรงเรียนมีหน้าที่ที่จะสอนให้บุตรหลานอ่านออกเขียนได้ โดยขาดการส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ
มันจะเป็นธรรมกว่าหรือไม่ ถ้าต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ให้ถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างโยนความรับผิดชอบให้พ้นๆ ตนเองไป พ่อแม่ผู้ปกครองก็โยนความรับผิดชอบไปให้โรงเรียน ครูชั้นอนุบาลก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพราะในที่สุดเด็กก็จะต้องขึ้นไปเรียนชั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบในงานเล็กๆ ของตนเอง เราก็ไม่ต้องหันไปพึ่งใครที่มีหน้าที่เพียงไม่กี่ปี หรือไม่กี่วาระที่จะมาแก้ปัญหาการศึกษาของไทยเลย เพราะต่างก็คิดว่า ปีหน้าเราก็หมดวาระ หรือหมดหน้าที่แล้ว เพราะฉะนั้น ครอบครัวจึงเป็นสถาบันเล็กๆ ที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้แข็งแกร่งที่สุด อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า ซึ่งมันไม่มีจริงเลย มันเป็นเพียงภาพลวงตา
Jan 30
Posted by malinee on Tuesday Jan 30, 2018 Under เกร็ดความรู้
เราทราบกันหรือไม่ว่าประเทศไทย เป็นประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ของการรังแกกัน โดยการใช้ความรุนแรงของเด็ก และกลุ่มที่ใช้สื่อทางเทคโนโลยีพวกโซเชียลในการทำร้ายเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง จากการเก็บข้อมูลพบว่าเด็กในกลุ่มที่เป็นเหยื่อจะเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มของเด็กพิเศษ ซึ่งจะถูกกลุ่มเพื่อนที่รวมตัวกันเกเร รังแกโดยใช้ความรุนแรง ส่วนกลุ่มที่เป็นตัวการมักเป็นเด็กในกลุ่มที่ติดกับการเล่นเกมส์รุนแรง ร่วมกับการไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องพฤติกรรมจากครอบครัว จึงไม่มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นเรื่องรุนแรง
ส่วนกลุ่มที่โตขึ้นจะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งเหยื่อ โดยนำเรื่องที่น่าอาย หรือแม้แต่การแต่งเรื่องแล้ว post ขึ้นบนสื่อโซเชียล ให้เหยื่อได้รับความอับอาย ผลที่ได้คือเด็กในกลุ่มที่ถูกรั
แกทั้งสองกลุ่ม หากไม่ได้รับการแก้ไขเหยื่อจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า
หากไม่มีใครตระหนัก หรือร่วมกันแก้ไขปัญหา เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะแย่ลงเรื่อยๆ เพียงร่วมมือกัน ช่วยกันคนละเล็กละน้อย โดยการดูแลบุตรหลานไม่ให้เป็นเหยื่อ โดยการหลีกเลี่ยงปัจัยทุกอย่างที่ส่งผลให้บุตรหลานกลายเป็นเด็กพิเศษ และช่วยกันดูแล อบรมบุตรหลานให้เป็นคนดีไม่รังแกหรือทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะทางใดก็ตาม
Nov 12
ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เป็นการส่งผลการประเมินการเรียนรู้ของเด็กๆ จากทางโรงเรียน เด็กหลายๆ คนผ่านการทุ่มเทในการอ่านหนังสือ และทบทวนบทเรียน เป็นผลให้ผลการเรียนออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้คุณพ่อ คุณแม่ อดไม่ได้ที่จะต้องให้รางวัลแก่ความเพียงพยายาม และความตั้งใจ
รางวัลที่เด็กๆ อยากได้ในปัจจุบัน หรือพ่อแม่เลือกให้เป็นของรางวัลมักเป็นโทรศัพท์มือถือ แทปเลต หรือ เงินในเกมส์ การให้รางวัลของพ่อแม่ มักคิดว่าเพื่อเป็นกำลังใจ และตอบแทนในความตั้งใจ นอกจากนี้แล้วยังเป็นสิ่งที่บุตรหลาน ต้องการอีกด้วย จึงไม่ลังเลที่จะให้ แต่เป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากเด็กที่มีเครื่องมือสื่อสารแบบไร้พรมแดน สามารถท่องโลกออนไลน์อย่างอิสระ เมื่อใดก็ได้นั้น เป็นการเปิดโอกาสให้สิ่งเร้ามีผลกับสมาธิ และการเรียนรู้ของบุตรหลานอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการปิดกั้นให้บุตรหลานมีโลกส่วนตัวที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ ไม่สามารถรู้ความคิดที่เกิดขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่จะเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีที่สุด คือ การประเมินผลการเรียนรู้จากทางโรงเรียน การรายงานพฤติกรรมทั้งด้านการเรียนรู้ ที่ไม่มีสมาธิ และพฤติกรรมก้าวร้าวที่เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้หากสะสมนานเข้า ปัญหาก็จะยิ่งสะสมตามเวลาที่ถูกปล่อยผ่าน จนในที่สุดไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย
ดังนั้นในเมื่อการให้รางวัลกับบุตรหลาน เป็นสิ่งที่อยากตอบแทนในความตั้งใจ พ่อแม่ควรจะเป็นผู้กำหนดรางวัลที่มีคุณค่า ควรพิจารณาถึงผลดีผลเสีย ที่จะส่งผลต่อตัวเด็กเป็นหลัก เพราะต่อไป เพราะเมื่อเขาเติบโตจนสามารถเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องมีหน้าที่ชี้แนะให้เขาต่อไป
May 29
ในยุคปัจจุบันที่เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ทำให้โลกดูแคบลง วิวัฒนาการรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ มีการแผ่ขยายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว การเชื่อมโยงกันอย่างไร้พรมแดนส่งผลให้การใช้เวลาในการหาข้อมูล การติดต่อสื่อสารได้แม่นยำและรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน การรับเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เราให้เวลาในการศึกษาถึงผลดี ผลเสียน้อยเกินไปจนทำให้เกิดผลเสีย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ เกมส์
เกมส์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มของเด็กในยุคปัจจุบัน คือเกมส์ที่ผู้เล่นมักเป็นตัวทำลายล้าง หรือ โจรปล้นธนาคาร ที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหนีตำรวจ หรือแม้กระทั่งการยิงตำรวจเพื่อให้ได้แต้มมา ในเกมส์จะสอนวิธีการปล้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อเด็กได้เริ่มเล่น ในช่วงแรกจะเป็นการเรียนรู้วิธีเล่นจนรู้สึกสนุก จนเกิดการหล่อหลอมจนเด็กเป็นเด็กที่ก้าวร้าวโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่ผู้ปกครองก็ปล่อยปละละเลย เพราะถือว่าเป็นเพียงเรื่องในเกมส์ จนกระทั่งการหล่อหลอมนานวันเข้า จนความก้าวร้าวกลายเป็นนิสัยของเด็กโดยที่พ่อแม่หลายๆ ครอบครัวไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ไม่สามารถดึงเด็กออกจากเกมส์ได้ ไม่สามารถใช้เหตุผลกับเค้าได้ ก็ได้แต่มานึกเสียใจกับการหาเพื่อน (ผู้ก้าวร้าว) ให้กับลูกในวันที่ผ่านมา
อย่าให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับครอบครัวของใครเพิ่มขึ้นอีกเลย มิฉะนั้นสังคมเมืองไทยจะกลายเป็นสังคมแห่งความก้าวร้าว เห็นแก่ตัว ในอนาคตอันสั้นไม่นาน
ครูจา
May 16
หลายๆ ท่านน่าจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ และเภสัชศาตร์ ในวันที่ 7 – 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีการใช้อุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ นั่นคือการติดกล้องไว้กับแว่นตาเพื่อถ่ายภาพข้อสอบ และมีการส่งคำตอบกลับไปยังนาฬิกาข้อมือ ซึ่งทางสถาบันกวดวิชาจะมีการรับรองผล โดยที่ผู้เข้าสอบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นคือ นาฬิกาเป็นเงิน 50,000 บาท แล้วหลังจากที่มีการประกาศผลสอบแล้ว ผู้เข้าสอบต้องชำระอีกเป็นจำนวนเงิน 800,000 บาท ซึ่งทางสถาบันกวดวิชามีการรับรองผลในการสอบทั้งสามคณะ ได้แน่นอน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว มันสามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของสถาบันกวดวิชา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง แต่ขาดจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ ซึ่ง 3 คณะดังกล่าวเป็นคณะที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งสิ้น หากจะกล่าวว่าทางสถาบันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงขนาดฉลาดใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้อย่างแยบยลเช่นนี้ อีกส่วนก็เป็นส่วนของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งแน่นอนต้องเป็นผู้ที่ชำระเงินตามที่ทางสถาบันกวดวิชาเป็นผู้เรียกเก็บในอัตราที่สูงลิบลิ่ว หากการทุจริตครั้งนี้สำเร็จ แน่ใจหรือว่าบุตรหลานจะสามารถเรียนได้ หากเรียนไม่ได้จะต้องมีการทุจริตอีกกี่ครั้ง ต้องถูกเรียกเก็บค่าทุจริตอย่างนี้เรื่อยไปจนจบ แล้วสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น แล้วตัวบุตรหลานเองจะหาความภูมิใจในตนเองได้อย่างไร ในเมื่อความสำเร็จในการศึกษาได้มาเพราะเงินที่พ่อแม่ทุ่มไป ไม่ใช่ความสามารถของตนเองเลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราควรต้องย้อนกลับมามองวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันทีมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั้งในการอยู่เป็นเพื่อน (ที่สอนให้เรารู้จักความก้าวร้าว) เป็นพี่เลี่ยง (เมื่อเวลาที่พ่อแม่ไม่อยากให้เราอยู่ใกล้) พ่อแม่เป็นเพียงเครื่องหารายได้ เพื่อปรนเปรอความต้องการของลูกหลานในทุกๆ เรื่องเท่านั้น ครอบครัวขาดการพูดคุย ถึงเหตุการณ์ในแต่ละวัน เพื่อการอบรมบ่มนิสัย และบ่มเพาะจริยธรรมให้กับบุตรหลานกันหรือเปล่า
ครูจา
Oct 11
หลังจากปิดภาคเรียนกันมาซักระยะหนึ่งแล้ว เราจะพักเรื่องการเรียนไว้ซักระยะหนึ่ง แต่คราวนี้เราจะกล่าวถึงพฤติกรรมของเด็กในช่วงปิดเทอม หลายๆครอบครัวในช่วงปิดภาคเรียนเลือกที่จะให้เด็กๆหยุดอยู่กับบ้านเพื่อเป็นการพักผ่อน พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนปล่อยเด็กให้อยู่กับเกมส์ โดยไม่ได้สอดส่องว่าเด็กเล่นเกมส์ประเภทไหน ปล่อยให้เด็กอิสระอยู่กับเกมส์เป็นเวลานาน ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกมส์การแต่งตัว แต่งหน้าตุ๊กตา แต่สำหรับเด็กผู้ชายเกมส์ที่เด็กๆ นิยมเล่นก็ไม่พ้นเกมส์การต่อสู้ ซึ่งการจะเอาชนะในเกมส์มักใช้ความรุนแรง เด็กๆ จะถูกหล่อหลอมโดยไม่รู้ตัวว่าการใช้กำลังเป็นสิ่งที่ทำให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ จนทำให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว เมื่อเข้าสังคมในโรงเรียนก็จะใช้ความรุนแรงกับเพื่อนๆ จนไม่มีใครต้องการจะเล่นด้วย ในที่สุดก็ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เมื่อเค้ารู้สึกโดดเดี่ยว ยิ่งส่งผลให้มีพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจโดยใช้ความรุนแรงมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นเราจึงควรป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว โดยจำกัดเวลา และเลือกประเภทของเกมส์ให้กับบุตรหลานเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือพฤติกรรมก้าวร้าว
ครูจา