Jul 03
เนื่องจากในยุคปัจจุบัน การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ต้องใช้เวลานานมาก ร่วมกับค่าเทอมของโรงเรียนต่างๆ สูงขึ้นอย่างลิบลิ่ว ร่วมกับความไม่แน่ใจในหลักสูตร หรือแม้กระทั่งตัวครูผู้สอน หรือบางครั้งอาจเกิดความไม่ต่อเนื่องกับหลักสูตรบางหลักสูตรที่เปิดในบ้านเราไม่ครบถึงระดับมัธยมศึกษา (เช่น การเรียนในแนวของ Montessori) จึงทำให้หลายๆ ครอบครัวหันมามองการเรียนการสอนด้วยตนเอง ที่เรารู้จักกันในคำว่า Home School กันมากขึ้น
ทุกๆ ครอบครัวสามารถเปิดการเรียนสอนบุตรหลานด้วยตนเองได้ หากมีการส่งแบบแผนของการศึกษาที่ตนเองต้องการสอนบุตรหลาน ให้กับทางกระทรวงตรวจ หรือบางครอบครัวก็ใช้หลักสูตรสำเร็จรูปจากต่างประเทศที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาบ้านเรา แน่นอนการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นแบบตัวต่อตัวย่อมดีกว่าการเรียนเป็นกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว เด็กไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ ถึงพัฒนาการในตัวเด็กและสามารถเสริมสร้างกิจกรรมได้หลากหลาย แต่การทำ Home School สิ่งที่สำคัญคือ ความมีระเบียบวินัย ต้องมีตารางเวลาและทำตามอย่างเคร่งครัด หากไม่เป็นเช่นนั้น จะเป็นการส่งเสริมความไม่มีระเบียบวินัย ความไม่รู้จักหน้าที่ การเรียนรู้ก็ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะหากตามใจบุตรหลานมากจนเกินไป จะทำให้เขาต้องการทำแต่ในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว การเรียนแบบเดี่ยว อาจทำให้การเรียนรู้ที่จะเข้ากลุ่ม หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขาดหายไป ดังนั้นหากครอบครัวใดตัดสินใจที่จะจัดการเรียนการสอนให้กับบุตรหลานในแบบ Home School จำเป็นต้องจัดทั้งกิจกรรมการเรียน และการเข้าร่วมกิจกรรมแบบกลุ่มเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย
Jun 09
เหลือเวลาอีกไม่ถึงปี ที่จะมีการเปิดประเทศเข้าสู่ AEC (ประชาคมอาเซียน) ทำให้เกิดการกระตุ้นทางด้านการศึกษากันอย่างกว้างขวาง โรงเรียนหรือสถานศึกษาหลายๆ แห่งเปิดโครงการการเรียนการสอนแบบ EP (English Program) กันอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ต้องการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กๆ ในด้านของภาษามากขึ้น
แนวทางในการเรียน EP ของหลายๆ โรงเรียน จะเป็นการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษเพิ่มเข้ามาจากหลักสูตรปกติ แนวทางดังกล่าวน่าจะส่งผลดีกับตัวเด็ก ให้เด็กได้มีความคุ้นเคยในการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยที่ทั้งหลักสูตรที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษควรจะไปในทิศทางเดียวกัน หรือคู่ขนานกันไป รวมทั้งหากเด็กได้ฝึกฝน หรือเตรียมความพร้อมทางด้านภาษาไว้แล้ว แต่ในทางกลับกัน หลักสูตรที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ร่วมกับการติดอยู่กับภาษาของเด็กหลายๆ คน ที่ไม่มีความคุ้นเคยกับการใช้ภาษา และยังต้องมีคำศัพท์เฉพาะอีกมากมายที่ต้องจำและทำความเข้าใจ ส่งผลให้เด็กเกิดความท้อแท้ เนื่องจากความไม่เข้าใจด้านภาษา รวมกับความไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องการให้บุตรหลาน มีการเรียนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรมีการติดตามแนวการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง หรือ ในช่วงของการสอบคัดเลือก ควรจะมีการศึกษาถึงแนวการเรียนการสอนของแต่ละโรง เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลาน ให้เขาใช้เวลาในช่วงของการปรับตัวในช่วงที่สั้นที่สุด เพื่อให้การเรียนได้สัมฤทธิ์ผลที่สุด
ครูจา
Jun 10
เชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่ท่านมีมาแต่กำเนิด มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตท่านตั้งแต่แรกเริ่ม เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมเชาวน์ปัญญา พวกเขามีความแหลมคม แต่พอพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้กลับหายไปจนเกือบจะหมดสิ้น มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างทางเป็นแน่
เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งได้ส่งเรื่องที่ชื่อว่า “โรงเรียนของสัตว์” ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากจะเล่าให้ท่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่า…
“ในวันหนึ่งสัตว์ทั้งหลายในป่าได้มารวมตัวกัน และตัดสินใจว่าจะตั้งโรงเรียนของสัตว์ขึ้นมา กระต่าย นก กระรอก ปลา และปลาไหล ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการพัฒนาหลักสูตร กระต่ายยืนกรานว่าเรื่องการวิ่งจะต้องเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตร นกบอกว่าเรื่องการบินก็ต้องอยู่ในหลักสูตร ปลาบอกว่าการว่ายน้ำจะต้องอยู่ในหลักสูตรเช่นกัน ส่วนกระรอกนั้นบอกว่าการปีนขึ้นต้นไม้ในแนวดิ่งก็เป็นสิ่งที่จำเป็น และเห็นว่าน่าจะต้องรวมไว้ในหลักสูตรด้วย ซึ่งในที่สุดพวกสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับมอบหมายให้ร่างหลักสูตรก็ได้นำวิชาต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน และจัดทำเป็นหลักสูตรขึ้นมา พวกมันได้ป่าวประกาศไปยังสัตว์ทั้งหลาย และบังคับให้สัตว์ที่เข้าเรียนหลักสูตรนี้จะต้องผ่านทุกวิชาตามที่กำหนดไว้
กระต่ายซึ่งเคยได้เกรดเอจากการวิ่ง มีปัญหามากในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่ง มันปีนขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดหัวสมองของมันก็ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถจะวิ่งต่อไปได้ จากที่มันเคยได้เกรดเอในการวิ่ง ตอนนี้มันกลับได้เกรดซี และที่แน่นอนก็คือมันได้เอฟ (สอบตก) ในการปีนต้นไม้ นกที่เคยเก่งมากในเรื่องการบิน แต่พอต้องเรียนวิชาขุดโพรงลงไปในดิน มันก็ทำได้ไม่ดีนัก จะงอยปากของมันแตกและปีกของมันก็หัก ไม่ช้าไม่นานมันก็ได้เกรดซีในวิชาการบิน และได้เอฟในวิชาขุดโพรง และมันก็ประสบปัญหาในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่งเช่นกัน
ในที่สุดสัตว์ที่สามารถเรียนจบผ่านหลักสูตรนี้ไปได้กลับกลายเป็นเจ้าปลาไหล ที่ทำทุกอย่างผ่านได้แบบครึ่งๆ กลางๆ แต่มันก็ทำให้ผู้สร้างหลักสูตรมีความสุข ที่เห็นว่าสัตว์เหล่านั้นได้เรียนรู้ทุกวิชาที่เหล่าบรรดากรรมการหลักสูตรได้พัฒนาขึ้นมา และต่างพากันเรียกการศึกษาแบบนี้ด้วยความภูมิใจว่าการศึกษาแบบ “ครอบจักรวาล”
ฟังเรื่องนี้แล้วเราอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าขบขัน แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการศึกษาของพวกเรา เราพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้คนทุกคนเหมือนกัน เราได้ทำลายศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในคนแต่ละคน เราบั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองในคนแต่ละคนจนหมดสิ้น
เชาวน์ปัญญาที่ติดตัวมาเริ่มตายไปในขณะที่เราพยายามจะลอกเลียนคนอื่น หากท่านต้องการจะให้เชาวน์ปัญญาที่มีมาคงอยู่ ท่านต้องเลิกการเลียนแบบ เชาวน์ปัญญาจะถูกกำจัดไปโดยปริยายหากท่านทำตามผู้อื่น เมื่อใดก็ตามที่ท่านเริ่มคิดจะเป็นเหมือนคนอื่น ท่านจะสูญเสียเชาวน์ปัญญาทีท่านมีอยู่ไป ท่านเริ่มจะโง่เขลานับตั้งแต่วินาทีที่ท่านเริ่มเปรียบเทียบตัวท่านกับคนอื่น ท่านจะสูญเสียความสามารถตามธรรมชาติของท่าน ท่านจะไม่มีความสุขอีกต่อไป ท่านจะไม่ได้สัมผัสกับความใสสะอาด ท่านจะสูญเสียความคมชัด เสียวิสัยทัศน์ของท่านไป ท่านจะต้องหยิบยืมดวงตาของผู้อื่นมาใช้ แล้วเราจะมองผ่านดวงตาของคนอื่นได้อย่างไร? เราต้องใช้ดวงตาของเราเอง เราต้องเดินด้วยลำแข้งของเราเอง เราต้องใช้หัวใจที่เป็นของเราเอง คนหลายคนมีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยของที่หยิบยืมมาจากผู้อื่น คนเหล่านี้จะรู้สึกว่าชีวิตของเขาติดขัดเป็นอัมพาต มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าโง่เง่าเบาปัญญา
โลกเราต้องการการศึกษาในรูปแบบใหม่ คนที่เกิดมาเป็นกวี จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่มากในวิชาคณิตศาสตร์ ส่วนคนที่อัจฉริยะในทางคณิตศาสตร์ก็ต้องมามะงุมมะงาหราอยู่กับการท่องวิชาประวัติศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับหัวกลับหางค่อนข้างยุ่งเหยิง เป็นเพราะว่าการศึกษาไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติของคนแต่ละคน ไม่ได้ให้ความเคารพในสิ่งที่คนแต่ละคนมี ควบคุมบังคับให้ทุกคนเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด อาจจะมีคนบางคนที่เดินไปกับรูปแบบนี้ได้ แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
คนส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนหลงทาง และลำบากใจ
ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือความรู้สึกที่ว่าตัวเองโง่ ไม่มีค่า ไม่มีเชาวน์ปัญญา เราต้องอย่าลืมว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับเชาวน์ปัญญา เราเกิดมาพร้อมกับความงดงามนี้ มันเป็นสิ่งที่หอมหวานที่ติดตามเรามาจากดินแดนอันไกลโพ้น แต่ครั้นเมื่อมาถึงโลกนี้ สังคมก็เริ่มโจมตีเรา เข้ามาจัดแจง เปลี่ยนแปลง สั่งสอน ตัดต่อ เติมแต่ง จนในที่สุดเราก็สูญเสียสิ่งเดิมที่มีติดมาจนไม่เหลืออะไรเลย นั่นคือวิถีทางที่ทำให้เชาวน์ปัญญาของเราถูกทำลาย
จากหนังสือ “ปัญญาญาณ” ของ OSHO แปลโดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด สำนักพิมพ์ Free MIND
Jan 19
Posted by malinee on Wednesday Jan 19, 2011 Under เกร็ดความรู้
ปัจจุบันการเรียนการสอนคณิตศาสตร์บ้านเราเมื่อเทียบกับประเทศไต้หวัน หรือ สิงคโปร์ เราจะพบว่าความเข้มข้นของเนื้อหาในการเรียนในช่วงประถมต้นนั้นค่อนข้างเบา ซึ่งมีแนวคิดหรือทัศนคติจากหลายฝากฝั่ง บ้างก็ว่าเด็กควรจะมีอิสระในความเป็นเด็ก นั่นคือปล่อยให้เขาได้เล่นในวัยของเขา บ้างก็ว่าเด็กควรจะมีการเรียนผ่านการเล่น (ซึ่งมีโรงเรียนในแนวของการเรียนผ่านการเล่นมากมาย แต่ก็มีปัญหาบ้างว่าโรงเรียนเหล่านั้นส่วนใหญ่เปิดสอนเพียงระดับชั้นประถมเท่านั้น แล้วเด็กที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบดังกล่าวอาจต้องมีการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่เมื่อเข้าสู่มัธยม) ซึ่งในแนวคิดแต่ละแนวไม่มีแนวใดผิดแนวใดถูก แต่สิ่งที่สำคัญคือ ในช่วง 10 ปีแรกเป็นวัยทองของเด็กในการเรียนรู้ ซึ่งต้องมีวิธีการสอนที่ดีควบคู่กันไปด้วย ตามแนวการเรียนการสอนของทางสิงคโปร์ เนื้อหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์จะค่อนข้างเข้มข้นตั้งแต่ประถมต้น หรืออาจเรียกได้ว่ามีความสม่ำเสมอจนกระทั่งเข้าสู่วัยมัธยม ส่วนในบ้านเราการวางแนวทางการสอนคณิตศาสตร์นั้น เพื่อให้เด็กส่วนใหญ่ (ซึ่งค่าเฉลี่ย IQ ต่ำกว่ามาตรฐาน) ได้มีความเข้าใจในเนื้อหา จึงทำให้เด็กส่วนใหญ่จะทำคะแนนได้ดีเมื่ออยู่ในประถมต้น แต่เมื่อเข้าสู่ประถมปลายจะมีเนื้อหาใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย ทำให้คะแนนในตอนประถมปลายของเด็กแตกต่างจากตอนประถมต้นอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าเราไม่ได้มีการเสริมการเรียนรู้ในแนวอื่น ๆ จะทำให้เด็กถูกจำกัดความสามารถ แต่เมื่อถึงประถมปลาย เนื่องจากต้องเร่งเนื้อหาให้ทันกับการเรียนในชั้นมัธยมต่อไป ทำให้เด็กถูกเร่งให้รับข้อมูล หรือสิ่งต่าง ๆ ในเวลาที่น้อยลง จึงดูเหมือนกับว่าพัฒนาการทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็กจะถดถอยลง