Feb 10
#นี่เราอยู่ระหว่างสงครามรึปล่าวเนี่ จากเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เราคงต้องย้อนกลับมาดูกันหน่อยมั้ยว่า โครงสร้างทางสังคมของเรามันผิดเพี้ยนไป ลักษณะเด่นของความเป็นคนไทยเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน รู้จักผิดชอบชั่วดี มีน้ำใจ เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่หลังจากเหตุการณ์ข่าวต่างๆที่ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ทั้งฆาตกรต่อเนื่อง นายสมคิด , ผ.อ. กอล์ฟ คดีปล้นทอง, ไอซํืหีบเหล็ก และล่าสุดนายทหารคลั่งที่โคราช
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นแนวโน้มของสังคมที่ใช้ความรุนแรงโดยขาดความยั้งคิด ในแต่ละคดีที่เกิดขึ้น เกิดจากความโลภ ใช้เงินเกินรายได้ที่มี อยากได้รับการยอมรับนับหน้าถือตา ประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องความสุขของตนในการใช้ชีวิตหรูหราบนสังคมออนไลน์ โดยการกู้หนี้ยืมสิน เมื่อถูกทวงหนักเข้าก็หาทางออกโดยการก่อคดีปล้น เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น
คดีของไอซ์หีบเหล็ก เป็นอีกคดีสะเทือนใจ จากข่าวที่มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ต้องถุูกฆ่า แล้วศพก็ถูกอำพรางโดยการใส่หีบเหล็กทิ้งไว้ในบ่อน้ำในบ้านที่ตนเองอยู่ โดยที่ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป แต่กลับก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากคำให้การของคนที่ทำงานกับทางครอบครัวของไอซ์ อาจวิเคราะห์ได้ใว่าเค้าขาดการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ ไม่มีใครคอยอบรมบ่มนิสัย ประกอบกับการติดยาเสพติด ทำให้สมองในส่วนของความรู้จักยั้งคิดหายไป ใช้สัญชาตญาณในการดำรงชีวิตเพียงอย่างเดียว
คดีสุดท้าย คือคดีของนายทหารคลั่ง เป็นคดีที่สะเทือนใจที่สุดเพราะผู้ก่อคดีเป็นคนในเครื่องแบบ ซึ่งหน้าที่ของทหารคือป้องกันอริราษฎร์ศัครู แต่ในครั้งนี้ ทหารเองเป็นผู้หันปลายกระบอกปืนเข้าหาประชาชนที่ไม่ได้รู้เรื่อง เพียงเพราะคุณคิดว่าคุณอยู่ในโลกของเกมส์ออนไลน์ โดยที่คุณปล้นอาวุธครบมือ พร้อมอุปกรณ์ป้องกันตัว แล้วลงใน fb ประกาศตนว่ามีใครจะกล้าลุยกับคุณมั้ย นี่คือผลของจินตนาการจากเกมส์ออนไลน์ที่ออกมาบนโลกของความเป็นจริงกับคนอายุ 32 ที่มีวุฒิภาวะ โศกนาฏกรรมครั้งนี้ที่เกิดขึ้นมันชี้ชัดแล้วว่า จินตนาการในเกมส์ออนไลน์ การฆ่าเป็นการเก็บแต้ม การขโมยอาวุธ เพื่อให้การเก็บแต้มมีประสิทธิภาพ คงเห็นแล้วนะว่าเกมส์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น.มันเกิดขึ้นกับคนที่มีวุฒิภาวะแล้ว แต่ถ้าคุณจะยังคงส่งเกมส์ลักษณะนะให้กับบุตรหลานที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ก็คงจะมีข่าวอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่ใช่แค่รายวันแล้ว คงต้องตามกันเป็นรายชั่วโมง
… ใส่ใจบุตรหลานของตนเองเถอะคะ ให้เวลากับเค้า อย่าให้เครื่องมือสื่อสารมาแทนทีี่เวลาของครอบครัว ที่เหลือจากหลังเวลาเลิกงานที่เหลือไม่ถึง 10 ชัวโมง มานั่งพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ เล่าประสบการณ์ของแต่ละวัน เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ สิ่งที่ลูกทำผิดก็อบรม สอนเค้า เรื่องการใช้ความรุนแรงต้องสอนลูก หรือให้เค้าได้แสดงความคิดเห็นหากจะมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่าเล็กๆ น้อยๆ ให้เค้าได้รู้ว่าเค้าเป็นส่วนหนึ่งและมีความสำคัญในครอบครัว แล้วเค้าจะไม่ไปพยายามเป็นคนสำคัญนอกบ้าน ไม่ไปแสวงหาความรักจากที่อื่น ถ้าที่บ้านมีให้เค้าจนเต็ม….
#ในนามสถาบันคิดสแควร์ขอแสดงความเสียใจกับครอบผู้เสียชีวิตในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
#ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานทุกท่านที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องทุกชีวิต
#อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย
#เคารพด้วยหัวใจ
#สถาบันคิดสแควร์
Oct 06
หากเราสังเกตกันดี ๆ จะพบว่าทุกวันนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำอะไร หรือตัดสินใจอะไรได้เร็วขึ้น ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหน ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างเพศ ต่างวัยกัน จะพบว่าจะต้องมีสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นไปแล้ว นั่นคือโทรศัพท์มือถือ แต่บางครอบครัวมีมากกว่านั้น นอกจากมือถือแล้วยังมี iPad หรือ tablet เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในเรื่องการหาข้อมูล การติดต่อสื่อสารถึงกัน ใน Social network นั่นเอง
เมื่อพิจารณากันดี ๆ แล้ว เราจะพบว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยนั้น เป็นดาบสองคม นั่นคือ หากผู้ใช้มีวุฒิภาวะ เขาก็จะสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกันหากผู้ใช้ไม่มีวุฒิภาวะ ก็เป็นดาบที่หันกลับมาทำร้ายตนเองได้อย่างง่ายดาย
ตัวอย่างที่เราเห็นกันจนชินตา หรือได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่มีความอดทนเลย ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่รู้จักการรอคอย ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่มีความพยายาม คำถามต่าง ๆ เหล่านี้มักออกมาจากปากพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเค้าเหล่านั้น หากเรามามองย้อนกลับไปดี ๆ เราจะพบสาเหตุที่เป็นสาเหตุหลักเพียงอย่างเดียว นั่นคือวิธีการเลี้ยงดูเขาเหล่านั้นแทบทั้งสิ้น
ทำไมการเลี้ยงดูของคนสมัยใหม่จึงเป็นสาเหตุหลักของปัญหา หลาย ๆ ครอบครัวที่เราพบเห็นตามห้างสรรพสินค้า เรามักพบว่าพ่อแม่ผู้ปกครองต้องทำงานในวันทำงาน เมื่อมีเวลาวันหยุดก็จะพาลูกไปตามโรงเรียนกวดวิชาเพื่อหวังให้เขาเหล่านั้นมีผลการเรียนดี มีอนาคตที่ดี ส่วนตนเองก็อยู่กับโทรศัพท์มือถือ ท่สามารถติดต่อสื่อสารผ่าน network ที่ทันสมัย ทำให้ตนเองมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใน Social network ที่สร้าง(ภาพให้ดูดี)ขึ้นมา ตลอดเวลา หลังจากเลิกเรียนกลับบ้าน ก็ส่งเกมส์ให้ลูกเล่น เพื่อเป็นการผ่อนคลายหลังเลิกเรียนอย่างเคร่งเครียดมาตลอดวัน และลูกยังสามารถอยู่ในกลุ่มเพื่อนได้อย่างไม่อายใคร เพราะเราก็มี iPad เล่นเกมส์โน้นนี้เหมือนกัน
จากความคิด หรือทัศนคติของผู้ปกครองส่วนใหญ่ดังกล่าว มันเป็นการติดกับเทคโนโลยี แทนที่เราจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นภัยมหันต์ ทั้งกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งมีการสนทนากัน พูดคุยถึงปัญหา แบ่งปันความเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่น้อยลงเรื่อย ๆ และยังเป็นการบ่อนทำลายทั้งสมาธิ ความสามารถในการเรียนรู้ และบั่นทอนเวลาการฝึกทักษะต่าง ๆ ให้สั้นลงอีก ทำให้ช่วงเวลาที่เขาควรเก็บเกี่ยวประสบการณ์ (จากพ่อแม่จากการพูดคุย) และทักษะการดำเนินชีวิต (ทักษะในการใช้กล้ามเนื้อต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม เรียนรู้กฎ กติกา มารยาทต่าง ๆ)
หากเลือกได้ระหว่าง 2 โปรโมชั่นคุณจะเลือกอะไร ระหว่าง 1. new iPad + ลูก(ติดเกมส์ ไม่เอาใจใส่ในการเรียน หรือเด็กพิเศษ)
หรือ 2. ครอบครัวที่ไม่มี iPhone หรือ iPad + ความเป็นครอบครัวที่มีความสุข โดยมีลูกที่ไม่มีคำว่า เด็กพิเศษติดตามตัวตลอดเวลา
ครูจา
Apr 23
เด็กทุก ๆ คนเมื่อเกิดมา นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก เขาจะใช้อวัยวะของร่างกายในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว จึงเป็นที่มาของนักจิตวิทยาเด็ก ที่ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นดังกล่าวมาวิจัยเกี่ยวกับเด็กทารก แล้วก็พบว่าประสบการณ์ทางด้านความรู้สึกทางอารมณ์และการเคลื่อนไหว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของความฉลาดและการเจริญเติบโตของเด็กทารกจนกระทั่งอายุ 2 ปี หากเด็กมีการเรียนรู้ทั้งสองด้านอย่างต่อเนื่อง ก็จะสะท้อนออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ (ร่างกายเจริญเติบโตสมวัย) , วุฒิภาวะทางอารมณ์ และการเข้าสังคมเมื่อเขาเติบโตขึ้น (เรามักจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เมื่อลูกเข้าสู่วัยประถม)
จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เรากล่าวถึงประสบการณ์ในวัยทารกอยู่ 2 ด้าน ซึ่งได้แก่
- ประสบการณ์ด้านอารมณ์และความรู้สึก เมื่อมองย้อนกลับไปในวัยทารก เด็กส่วนใหญ่จะได้รับความรักความอบอุ่นจากแม่ ภาษากายที่แม่ส่งผ่านความรักให้กับลูกผ่านการอุ้ม การสัมผัสของแม่นั้น เป็นประสบการณ์ในเชิงบวกที่ลูกจะได้เรียนรู้ว่าตนเองจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมกอด หากแต่เมื่อใดที่ต้องการความช่วยเหลือ แค่เพียงร้องไห้ เขาก็จะได้สัมผัสที่เขาต้องการอีกครั้ง ซึ่งประสบการณ์ในเชิงบวกนี้มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในวัยทารกมาก เมื่อเขารู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย เขาก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างผ่อนคลาย แต่ในทางกลับกัน หากครอบครัวใดไม่มีความพร้อม หรือยังไม่ได้เตรียมรับกับสถานการณ์ที่จะมีสมาชิกใหม่ตัวน้อย ๆ ที่ค่อนข้างเอาแต่ใจมาเพิ่ม การเรียนรู้ของเขาก็จะเป็นประสบการณ์ในเชิงลบ เนื่องจากในสถานการณ์ที่ยังไม่พร้อมนั้น จะเป็นตัวกระตุ้นให้คุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกตลอด 24 ชั่วโมงนั้น หมดความอดทนลงได้ในเสี้ยววินาที หากเป็นเช่นนั้น เด็กเองจะมีความรู้สึกหวั่นไหว ไม่ปลอดภัย ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเขาให้พัฒนาช้าลง จนอาจกลายเป็นกลายเป็นเด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้เมื่อโตชึ้น
- การเคลื่อนไหว เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ในวัยทารกนั้น เด็กในช่วง 7 เดือนแรกไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ทำให้การเรียนรู้ในช่วงนั้นจะต้องเป็นการเรียนรู้จากแขนขาที่ขยับได้เต็มที่ แล้วขยับไปเป็นนิ้วมือ นิ้วเท้า ในช่วงของวัยที่ต้องอยู่ในเปล คนโบราณจึงนำโมบายมาห้อยไว้ที่หัวเตียง เพื่อเป็นอุบายให้เด็กขยับแข้งขา ให้เขามองแล้วไขว่ขว้า และก็เป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า การเคลื่อนไหวเป็นพื้นฐานการพัฒนาในทุก ๆ ด้านของเด็ก ทั้งในเรื่องกล้ามเนื้อ ความจำ และบุคลิกภาพ
หลาย ๆ ครอบครัวมักจำกัดกรอบการเรียนรู้ของเด็ก เช่น ไม่ให้ปีนป่าย เนื่องจากกลัวการลาดเจ็บ การจำกัดกรอบต่าง ๆ ดังกล่าว เท่ากับการปฏิเสธที่จะให้เขามีประสบการณ์ในการใช้กล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ หรือในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บ เขาก็ยังได้ประสบการณ์ว่าในการปีนป่ายต้องมีความระมัดระวังในจุดไหนมากกว่าปกติ (จริง ๆ ผู้ใหญ่สามารถป้องกันการบาดเจ็บได้ หรือลดความเสี่ยงได้ โดยไม่ไปจำกัดกรอบการเล่น การเรียนรู้ของเด็ก) ซึ่งประสบการณ์ในการเคลื่อนไหวนี่เอง เป็นพื้นฐานที่ทำให้เขามีสุขภาพดี และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
จากบทความข้างต้น ชี้ให้เห็นแล้วว่าวัยทารกนี้เป็นช่วงที่มีความสำคัญมาก หากเราต้องการให้ลูกหลานเป็นเด็กฉลาด สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือ การยื่นความรัก ความอบอุ่น และการเล่นโดยใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน ที่จำกัดกรอบการเล่นให้น้อยที่สุด
ครูจา