จากระบบการศึกษาไทยที่หลายๆ ครอบครัวเกิดความไม่เชื่อมั่น ทั้งในเรื่องขององค์ความรู้ ผู้สอ น อีกทั้งอัตราการแข่งขันเพื่อให้ได้เรียนโรงเรียนดังๆ หรือในโรงเรียนกระแสทั่วไป หลายๆ ครอบครัวมักพูดว่าไปเรียนอินเตอร์บุตรหลานจะได้ไม่ต้องแข่งขันมาก ไม่อยากให้บุตรหลานเครียด ทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองในกลุ่มนี้ เลือกโรงเรียนในแนวของโรงเรียนอินเตอร์ ที่มีจำนวนมากขึ้นในช่วงทศวรรษหลัง แต่ในการส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบ และอาจต้องมีการตรวจสอบวุฒิการศึกษา เมื่อเทียบกับกระทรวงของบ้านเราด้วย หากยังต้องการให้บุตรหลานเรียนต่ออุดมศึกษาในเมืองไทย

หลักสูตรของโรงเรียนอินเตอร์หลักๆ จะแยกออกเป็น 2 แนวใหญ่ๆ คือแนวบูรณาการ ซึ่งจะใช้ curriculum อยู่ 2 แนว คือแบบ British Curriculum และในแนว American Curriculum ซึ่งเป็นแนวการเรียนที่เน้นความพร้อมของเด็ก และไม่เร่งให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยการขีดเขียน มุ่งเน้นการเรียนแบบ well rounded (การเรียนรู้รอบด้าน) เนื่องจากสังคมของประเทศดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีการประยุกต์ชิ้นงานจากความคิดความสามารถรอบด้านที่สะสมมา และแนวทางการเลี้ยงดูบุตรหลานมุ่งเน้นให้เด็กคิดอย่างอิสระ ส่งเสริมกิจกรรมกลางแจ้งให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว เปิดโอกาสให้เด็กได้ออกเดินทาง ทัศนศึกษา จัดกิจกรรมสันทนาการไปตามที่ต่างๆ โดยมีคู่มือ แผนที่ของสถานที่ มีการค้นคว้าข้อมูลที่ตนเองสนใจ พร้อมกับการมีคำถามปลายเปิดในการเรียนรู้ทุกๆ กิจกรรมโดยที่คำถามต่างๆ เหล่านั้น เด็กๆ จะต้องให้เหตุผลในคำตอบของตนเอง คำตอบไม่มีผิด ไม่มีถูก เพื่อส่งเสริมให้เด็กกล้าคิด กล้าทำสิ่งต่างๆ นอกกรอบที่เรียนมา เป็นเหตุให้เราจะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ จากประเทศดังกล่าวเสมอ ส่วนในอีกแนวทางคือเป็นแนวทางของการเร่งเรียน นั่นคือแนวทางของ Singapore ซึ่งเน้นทั้งด้านภาษา (อังกฤษและจีน) คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เนื่องจากประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่เน้นสร้างบุคลากรมนุษย์ เนื่องจากทรัพยาการทางธรรมชาติไม่ได้อุดมสมบูรณ์แบบบ้านเรา จึงเน้นใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ใช้ความรู้ที่จะใช้ทรัพยาการธรรมชาติ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเบนเข็มไปในแนวของโรงเรียนอินเตอร์ มักคาดหวังว่าลูกจะเป็นเด็กที่กล้าคิด กล้าแสดงออก มีความสามารถด้านภาษา นอกจากนี้แล้วพ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนจึงปล่อยการเรียนให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว จนไม่รู้ว่าบุตรหลาน ได้ความรู้ ความมั่นใจ ความคิดจากโรงเรียนดังกล่าวหรือไม่ หลงลืมไปว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแรกของเรา การเรียนการสอนในแนวของโรงเรียนอินเตอร์จะสอนในแนวที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกที่เค้าเรียกว่า Mother tongue หรือ EFL (English First Language) แนวการเรียนการสอนภาษาอังกฤษจะแตกต่างจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองที่สาม แต่แน่นอนเด็กๆ ที่เรียนจะได้เรื่องการสื่อสาร การฟัง แต่เรื่องของการอ่าน การเขียนจะต้องฝึกมากกว่าเด็ก EFL แน่นอน  นอกจากเรื่องของภาษาแล้ว ยังมีเรื่องของวิธีการเลี้ยงดู คนไทยหากมีศักยภาพเพียงพอที่จะส่งบุตรหลานเรียนโรงเรียนดังกล่าว เด็กเมื่ออยู่บ้าน ไม่ต้องคิดเอง ทำอะไรเอง กิจกรรมทุกอย่างมีคนคอยคิด คอยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อยู่แล้ว ทำให้กระบวนการคิดอย่างสร้างสรรค์และปลูกฝังให้คิดด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่ต้องเริ่มจากที่บ้านจนกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวเค้า ไม่ใช่สิ่งที่จะสอนกันได้เพียงในเวลาเรียน ซ้ำร้ายกว่านั้นทำให้กลายเป็นคนเฉื่อย ไม่พยายาม ไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำอะไรให้สำเร็จ เพราะทุกอย่างที่ได้รับมาล้วนถูกหยิบยื่นแบบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย

จากเรื่องของวิธีคิด มาพูดถึงเรื่องวิชาการ เด็กที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ส่วนใหญ่จะไม่ชอบการเรียนคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ เนื่องจากทั้งสองวิชาเป็นวิชาที่มีคำตอบตายตัว ไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่อาจมีวิธีคิดที่หลากหลายได้ ซึ่งแตกต่างจาก Literature ซึ่งเป็นวิชาที่อิสระ ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่ขึ้นกับทัศนคติ และวิธีคิดของแต่ละคน หากพ่อแม่ ผู้ปกครองเลือกโรงเรียนในแนวอินเตอร์ให้บุตรหลานแล้ว ต้องมองยาวๆ ไปจนถึงอุดมศึกษา หากยังคงส่งให้เรียนในประเทศไทย ซึ่งก็ยังมีทางเลือกของการเรียนในแนวของอินเตอร์ แต่สิ่งที่สำคัญคือ โรงเรียนดังกล่าวได้รับการรับรองจากกระทรวงบ้านเราหรือไม่ และสิ่งที่ต้องศึกษาคือ ในแต่ละคณะ แต่ละมหาวิทยาลัยจะมี requirement ที่เด็กจะต้องสอบเพื่อยื่นเป็น portfolio หรือ profile เพื่อให้ได้คณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ซึ่งก็จะหนีไม่พ้น SAT , TOEFL , IELT หรือหากต้องการไปในแนวของแพทย์ก็จะต้อง Apply BMAT และพวก SAT Subject ต่างๆ ต่อไป

อย่าให้บุตรหลาน สุดท้ายมีข้อได้เปรียบเพียงภาษาเพียงอย่างเดียว มันน่าเสียดายกับเวลา ศักยภาพในตัวเด็ก และเงินที่ทุ่มเทลงไป

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

images30JI2Q42                        ในการเรียนของเด็กตั้งแต่อนุบาลนั้น เด็ก ๆ จะต้องเรียนรู้ทั้งภาษา และ จำนวน (คณิตศาสตร์) การเรียนโดยทั่วไปของการเรียนภาษา ก็จะต้องเริ่มต้นให้เด็กท่องจำ พยัญชนะในภาษาต่าง ๆ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ก่อนที่เด็กจะสามารถอ่านออกเขียนได้ เด็ก ๆ จำเป็นที่จะต้องฝึกทักษะการอ่านจากการสะกดคำแบบค่อยเป็นค่อยไป

                        เช่นเดียวกับการเรียนภาษา การเรียนคณิตศาสตร์ในช่วงต้น ๆ ของชีวิต แน่นอน เด็ก ๆ จะต้องรู้จักจำนวนก่อน โดยที่จะต้องมีการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ (ตัวเลข) กับจำนวนให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยมีการบวก การลบตามมาทีหลัง

                        ในการเรียนคณิตศาสตร์นั้น จะมีวิธีคิดหลาย ๆ วิธีที่ให้ได้คำตอบเดียวกัน เช่นเดียวกับการเดินทางให้ถึงจุดหมาย โดยที่แต่ละคนจะมีการเลือกใช้พาหนะที่แตกต่างกัน แต่ก็ไปถึงจุดหมายเดียวกันได้ โดยสิ่งที่แตกต่างกันก็คือเรื่องของเวลาเท่านั้น การเรียนคณิตศาสตร์ในโรงเรียน โดยทั่วไปจะมีการเชื่อมโยงจำนวนให้เป็นรูปธรรมโดยใช้นิ้ว (เป็นเครื่องมือที่อยู่กับเด็ก ๆ ตลอดเวลา) เช่นเดียวกับการบวก-ลบ เด็ก ๆ ก็จะถูกสอนให้ใช้นิ้วเป็นเครื่องมือช่วยคิด ซึ่งก็สามารถหาคำตอบในเรื่องการคำนวณได้เช่นกัน

                        ส่วนจินตคณิตนั้น เป็นการใช้ลูกคิดเป็นเครื่องมือ ซึ่งก่อนที่เด็กจะสามารถใช้ในการบวก-ลบได้คล่อง ก็ต่อเมื่อเขาเรียนรู้การใช้ลูกคิดได้ครบทุกสูตร แต่หากเด็กที่ถูกฝึกให้ใช้นิ้วเป็นเครื่องมือจนคล่องแล้ว มักคุ้นกับการนับนิ้ว (ซึ่งถูกฝึกในการเรียนทุกวัน) และการเรียนจินตคณิตไม่ได้มีใช้ในโรงเรียน มีผลให้เด็ก ๆ ไม่เอาใจใส่ต่อการบ้านที่ให้ทำเพื่อฝึกฝนระหว่างสัปดาห์ (ที่เรียนเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น) หากพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการให้เด็ก ๆ เรียนจินตคณิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ดังนั้นทางโรงเรียนหรือครูจะต้องทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ปกครองให้ตระหนักถึงความสำคัญของการทำการบ้าน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะการใช้ลูกคิดให้คล่องและเมื่อถึงช่วงของการจินตนาการ ก็สามารถที่จะคำนวณได้อย่างถูกต้องและแม่นยำในที่สุด     

ครูจา

Tags : , , , , , , | add comments