จากเดลินิวส์ออนไลน์

วันจันทร์ ที่ 08 พฤศจิกายน 2553

ในโลกนี้ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่จะทรงงานหนักที่สุดเพื่อปวงประชาของพระองค์ท่านได้เท่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของปวงชนชาวไทย ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์มีโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนมากมาย โดยเฉพาะโครงการพระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค บริโภคและการทำเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจากความผันแปรและคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าส่งผลให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนในทุกภาคของประเทศ ส่งผลต่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี

ด้วยพระอัจฉริยภาพในการประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีการทำฝนหลวงจนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับสรรเสริญอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและนานาประเทศ ตัวอย่างเช่นในปี 2544 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำผลงานโครงการพระราชดำริฝนหลวงและตำราฝนหลวงพระราชทานไปร่วมจัดแสดงนิทรรศการในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางเทคโนโลยี ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยียม ปรากฏว่าได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นด้านสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อสาธารณชน โดยคณะกรรมการจัดงานได้ถวายเหรียญทองและประกาศนียบัตรเชิดชูพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ที่สำคัญโครงการพระราชดำริฝนหลวงได้รับการจัดสิทธิบัตรต่อสำนักงานสิทธิบัตรทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้ชื่อ “การดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝน” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งในวันที่โปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเข้าเฝ้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2548 ว่า…
…สิทธิบัตรนี้….เราคิดเอง…..คนไทยทำเอง…..เป็นของคนไทย…..มิใช่เพื่อพระเจ้าอยู่หัว…..ทำฝนนี้ทำสำหรับชาวบ้าน…..สำหรับประชาชน…..ไม่ใช่ทำสำหรับพระเจ้าอยู่หัว…..พระเจ้าอยู่หัวอยากได้น้ำ ก็ไปเปิดก๊อกเอาน้ำมาใช้ อยากได้น้ำสำหรับการเพาะปลูกก็ไปสูบจากน้ำคลองชลประทานได้ แต่ชาวบ้านชาวนาที่ไม่มีโอกาสมีน้ำสำหรับเกษตรก็ต้องอาศัยฝน ฝนไม่มีก็ต้องอาศัยฝนหลวง…

ดังนั้นเพื่อแสดงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้ที่มีต่อปวงชนชาวไทย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็น “พระบิดาแห่งฝนหลวง” และกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” เป็นการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนุชนรุ่นหลังได้มีโอกาสชื่นชมในพระบารมีและร่วมกันถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติติดต่อกันไปทุกปี

กำหนดการดำเนินงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและจัดงานพิธีวันพระบิดาแห่งฝนหลวงระหว่างวันที่ 8-15 พฤศจิกายน 2553 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 83 พรรษาในปีนี้ และในฐานะทรงเป็น พระบิดาแห่งฝนหลวง ตลอดจนเป็นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย.

Tags : , , , , , , , | add comments