Apr 08

ช่วงเวลาของการสอบคัดเลือกเข้าเรียนในระดับชั้นต่างๆ มีหลายๆ ครอบครัวที่ดีใจ และอีกหลายๆ ครอบครัวที่มีน้ำตาเปื้อนใบหน้า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องมีหน้าที่คอยประคองความรู้สึกและให้กำลังใจบุตรหลาน ให้เขาได้เรียนรู้ถึงความผิดหวังบ้าง เพราะในชีวิตคนเราไม่มีใครที่จะสมหวังในทุกๆ เรื่อง เพื่อเป็นบทเรียนให้เค้าได้ตั้งความหวังให้สูง และไปถึงจุดนั้นให้ได้ด้วยความเพียรพยายาม
แต่หลายๆ ครอบครัวจะหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรหลานของตนเองในการสอบคัดเลือก โดยการให้เข้าโรงเรียนที่มีการเรียนยาว โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนโรงเรียน ทุกอย่าง พ่อแม่ ผู้ปกครองจะเป็นผูวางแผน หรือดำเนินการ คิดแทน ทำทุกอย่างแทนให้จนกลายเป็นการบ่มเพาะนิสัยของความเฉื่อย ไม่มีความคิดที่จะริเริ่มหรือทำอะไรด้วยตัวเอง เมื่อโตขึ้นจะไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะไม่เคยถูกฝึกทักษะด้านใดเลย ไม่เคยวางแผนการทำงาน หรือ อนาคตตนเอง เค้าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ถ้าชีวิตเค้าขาดผู้อุปถัมภ์ ดูแล
มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครอง อบรมเลี้ยงดูเค้าเหล่านั้นให้ได้รู้จักหน้าที่ของตนเองตั้งแต่วัยเด็ก แล้วเพิ่มหน้าที่ให้มากขึ้น ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองต้องลดการดูแลในส่วนของตนเองลง ให้เค้าได้เรียนรู้ที่จะคิดวางแผนเป็นระยะๆ เช่น การทำการบ้าน ให้เค้าได้ทำด้วยตนเอง ไม่ใช่ช่วยจนเค้าไม่สามารถทำการบ้านได้ด้วยตนเอง อ่านหนังสือสอบ ต้องให้เค้าค่อยๆ เรียนรู้ที่จะสะกดคำ จนคล่อง ไม่ใช่อ่านให้เค้าฟังทุกครั้ง ทักษะที่ต้องใช้เวลา และที่ควรจะได้รับการฝึกฝน ก็จะไม่เกิดขึ้น ให้เค้าได้ดูแลตัวเอง มีความภูมิใจในตัวเอง มีความมั่นใจในตัวเอง เรียนรู้ที่จะผิดหวัง เรียนรู้ที่จะมุ่งมั่นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จลุล่วง หากพ่อแม่ผู้ปกครอง เลี้ยงดูบุตรหลานแบบที่คิดแทนเค้าในทุกๆ อย่าง สักวันที่เค้าไม่มีเรา ชีวิตเค้าจะเดินต่อไปอย่างไร ในเมื่อเค้าไม่เคยได้รับการฝึกฝนใดๆ เลย อย่าทำร้ายเค้าด้วยการดูแลที่เกินความจำเป็นกันอีกเลย ขนาดดักแด้ที่อยู่ในไหม สักวันนึงมันก็ต้องกลายเป็นผีเสื้อที่ต้องกางปีกของตนเองออกมาสู่โลกกว้างในที่สุด
May 16
ในการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในวิชาใดๆ การจัดการบ้านให้กับเด็กๆ เพื่อเป็นการวัดความเข้าใจในชั้นเรียนของครูผู้สอน ว่ามีความเข้าใจเนื้อหาในการเรียนการสอนแล้วหรือยัง
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ พ่อแม่ ผู้ปกครองมักปล่อยให้เด็กๆ เรียนทำการบ้านหลังเลิกเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่า การจราจรในกรุงเทพไม่เอื้ออำนวยทำให้ไม่สามารถไปรับบุตรหลานได้ตามเวลาเลิกเรียน หรือเพื่อต้องการตัดปัญหา การรบเร้าให้บุตรหลานทำการบ้าน รวมถึงการสร้างสมรภูมิรบในบ้านหลังเลิกเรียนและเลิกงาน สิ่งที่เลือกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน แต่นั่นหมายความว่าโอกาสทองของเด็กที่จะได้ทบทวนเนื้อหาความเข้าใจในวิชาต่างๆ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ที่ต้องการการฝึกฝน และการจัดกระบวนการคิด จากการทำการบ้านด้วยตนเองก็หายไป และนอกจากนี้แล้วโอกาสของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่จะได้ทราบถึงพัฒนาการในการเรียนของบุตรหลานก็หายไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทราบข้อบกพร่อง หรือแก้ไขความไม่เข้าใจในเนื้อหาบทเรียนของเด็ก จนกระทั่งปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนเด็กๆ ต้องมีการสอบแข่งขัน จึงรู้ตัวว่าเวลาในการที่จะให้เด็กทำความเข้าใจกับเนื้อหาต่างๆ มันสั้นเกินไป
หากปล่อยให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จะเป็นสาเหตุให้ความไม่เข้าใจในบทเรียนก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กไม่มีความสนใจในการเรียนในที่สุด
ครูจา
Jul 15
ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลการสอบกลางภาคของเด็ก ๆ เป็นช่วงที่มักจะเห็นหน้าตาที่คร่ำเคร่งของเด็ก ๆ แต่คร่ำเครียดของผู้ปกครอง
เรามักพบว่าหลาย ๆ ครอบครัว ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องนั่งอ่านหนังสือกับลูก กับอีกหลาย ๆ ครอบครัวที่คุณพ่อ คุณแม่อ่านจับใจความและทำการขีดเส้นใจความสำคัญให้บุตรหลาน เพื่อเป็นการย่นระยะเวลาในการอ่านเนื้อหาที่ไม่จำเป็นออกไป
การอ่านหนังสือที่คุณพ่อคุณแม่ อ่านไปพร้อมกับลูก โดยที่ให้เด็กมีหน้าที่หลักในการอ่าน และคุณพ่อคุณแม่คอยช่วยเสริม หรือบรรยาย ให้เด็กมีความเข้าใจมากขึ้น อาจจะเสียเวลามากกว่าแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ การได้ฝึกบุตรหลานทั้งทักษะในการอ่าน การอ่านจับใจความ และเพิ่มสีสันให้กับการอ่านหนังสือสอบที่ไม่น่าเบื่อ เพราะจะมีประสบการณ์หรือเรื่องเล่าจากคุณพ่อคุณแม่เพิ่ม แต่ในทางกลับกันหากคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ลงมืออ่าน และจับใจความให้กับบุตรหลาน สิ่งที่ได้กลับมาคือ การอ่านหนังสือแบบไม่สามารถจับใจความสำคัญของบทเรียน เบื่อหน่ายกับการอ่านหนังสือที่เป็นเพียงตัวหนังสือที่ถูกขึดเป็นช่วงเป็นตอน ที่ไม่น่าสนใจ และเมื่อเขาโตขึ้น บทเรียน และกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะมีมากขึ้น ทำให้การอ่านเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะเลือก ทั้งการหาความรู้ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง
หากแต่วันนี้คุณพ่อ คุณแม่ต้องอดทน รอคอย ฝึกฝน ให้เขาได้เพิ่มพูนทักษะอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่เล็ก และเขาจะสามารถนำมาใช้เมื่อเขาโตขึ้นได้ด้วยตนเอง
Nov 07
Posted by malinee on Sunday Nov 7, 2010 Under ทฤษฎีลูกคิด
มักมีคำถามมากมายว่า “เรียนลูกคิดเพื่ออะไร”
จุดประสงค์ของการเรียนลูกคิดนั้นมีหลายประการ แต่ในเบื้องต้นของการเรียนนั้นเพื่อปรับทัศนคติของการเรียนคณิตศาสตร์ การใช้ลูกคิดในการคิดคำนวณพบว่าเป็นที่รู้จกแพร่หลายในอดีต ซึ่งมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมาก นอกจากนี้แล้วการเรียนลูกคิดยังช่วยเพิ่มระดับของการจินตนาการ กระบวนการคิดโดยการวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และยังช่วยในเพิ่มทักษะทางคณิตศาสตร์ (ในเรื่องของการแก้โจทย์ปัญหา)
ในการเรียนลูกคิดในระดับที่ผ่านการฝึกฝนการใช้ลูกคิดจนชำนาญแล้ว หลังจากนั้นเด็กจะถูกฝึกให้มีการคำนวณโดยการจินตนาการเป็นเม็ดลูกคิดในระหว่างการคิดคำนวณ ซึ่งในการเรียนลูกคิดจะเป็นระดับคร่าว ๆ ดังนี้
1.ขั้นพื้นฐาน เป็นขั้นที่ให้เด็กมีการใช้งานลูกคิด โดยการฝึกฝนการดีดจนชำนาญในระดับนี้เด็กควรจะใช้เวลาในการฝึกฝนประมาณ 10 – 20 นาทีต่อวัน
2.กระบวนการซึมซับการจินตนาการ
หลังจากการฝึกฝน เด็กๆจะจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการในการพัฒนาการคิดคำนวณ โดยการจดจำภาพเม็ดของลูกคิดเข้าสู่สมอง เด็กจะได้เริ่มหัดคิดคำนวณอย่างง่าย ซึ่งเราจะเรียกกระบวนการดังกล่าวว่า “การดีดอากาศ”
3.ขั้นตอนการ จินตนาการ
เป็นขั้นตอนที่ เด็กจะสามารถคิดคำนวณได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ลูกคิดอีกต่อไป เด็กจะสามารถคำนวณ โดยอัตโนมัติ จากการจดจำของสมองได้โดยตรง (mental arithmetic) กระบวนการดังกล่าวจะทำให้เด็กสามารถคิดคำนวณได้อย่างรวดเร็ว
อายุที่เหมาะสมในการเริ่มต้นเรียนลูกคิด?
ผลการศึกษาพบว่า เด็กจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่อสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ พบว่าเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 6 ขวบ มีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีกว่าและเร็วกว่าเด็กที่อายุมากกว่า การเรียนจินตคณิตยังเป็นการกระตุ้นการพัฒนาสมองทั้งสองข้าง และยังเป็นการปลูกฝังและพัฒนาทัศนะคติในการเรียนคณิตศาสตร์ในระดับต่อไปอีกด้วย อายุที่เหมาะสมในการเริ่มต้นเรียน จะประมาณที่อายุ 4-5 ปีเป็นต้นไป