สถานการณ์​ปัจจุบัน​เป็นที่ทราบกันแล้วว่าโลกของเราอยู่ในภาวะที่มีการระบาดของโรค​ COVID 19​ ก่อนหน้านี้ประเทศไทย​ถือว่าเป็นประเทศ​ที่สามารถรับมือกับภาวะการระบาดของโรคอยู่ในลำดับต้นๆ​ จนกระทั่งเมื่อสายของวันนี้​ ที่มีข่าวของการเสียชีวิต​ของผู้ป่วย​ COVID​ ​19​ ทำให้เกิเความตื่นตระหนก​กันมากขึ้น
จากเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น​ หากได้ตามข่าวจะพบว่า​ สถานการณ์​การควบคุมโรคระบาดของจีน​มีแนวโน้มที่ดีขึ้น​ มีจำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ​ แต่ในทางกลับกัน​ การระบาดในประเทศ​ต่างๅ​ กลับมีอัตราการแพร่ระบาดที่สูงขึ้น​ เราอาจจะต้องทบทวนเรื่องการจัดการที่แตกต่างกัันระหว่างจีนกับเราสักหน่อยมั้ย​ เพราะเรื่องของยา​รักษา​ หมอบ้านเราคิดได้ก่อนจีนซะอีก​
คราวนี้​มาพิจารณา​ความแตกต่างของการจัดการมันแตกต่างกัน​ ที่ทำให้ประเทศจีนสามารถ​ควบคุมการแพร่ระบาด​ได้​ เนื่องจากประเทศ​จีนเป็นสาธารณรัฐ​ซึ่งทุกคนอยู่ภายใต้กฎและเงื่อนไขเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ​ ทั้งสิ้น​ หลังจากการแพร่ระบาด​อย่างหนักประเทศ​จีนสั่งปิดประเทศ​ งดการเดินทางเข้า-ออก​ นอกจากนี้แล้วหลายๆ​ มณฑลที่มีการแพร่ระบาด​ ก็ถูกห้ามการเดินทางเข้า-ออก​ จากพื้นที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน​ การเดินทางออกจากบ้านจะออกจากบ้านได้อาทิตย์​ละ​2 วันเท่านั้น​ และการออกจากเคหะสถานต้องมีการสวมหน้ากาก​อนามัยเท่านั้น​ หากไม่สวมหน้ากาก​อนามัยก็ไม่สามารถ​ออกจากบ้านได้​ นอกจากนี้แล้วโรงงานอุตสาหกรรม​หลายๆ​ แห่งที่ถูกย้ายฐานการผลิต​ไปยังประเทศ​จีน​ (เนื่องจากประเทศจีนมีทั้งวัตถุดิบและแรงงานที่มีราคาถูก)​ มีกฏว่าจะสามารถเดำเนินการผลิตได้ก็ต่อเมื่อ​พนักงานสวมหน้ากาก​อนามัยในการทำงานทุกคนและทุกวัน​ ในขณะที่บ้านเรา​ การเดินทาง​เข้า-ออกเป็นอิสระ​ ไม่ว่าคุณจะไปประเทศ​กลุ่มเสี่ยงสักกี่ี่รอบ​ คุณก็สามารถเดินผ่านเข้า​ ต.ม. ได้ง่ายดายเกินไป และคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวจึง​ ซึ่งเกิดเป็นความประมาท​ (​เช่นเดียวกับเรื่องฝุ่น​ ซึ่งมันยังไม่ได้หายไปไหน
​ แต่เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเดือดร้อนแล้วในวันนี้​ จริงๆ​ แล้วมันอยู่ในทางเดินหายใจของคนกรุงเทพทุกวัน​ แล้วมันค่อยๆ​ทำให้ระบบภูมิต้านทางของเราลดลงเรื่อยๆ)​ เมื่อเปิดข่าวเช้า​ จะได้ข่าวการระบาดเริ่มไปทางซีกตะวันตก​เพิ่มขึ้น​ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ามันไกลตัวเราออกไปแล้ว ยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่​ละเลยและประมาท​ ร่วมกับการขาดสำนึกของการอยู่ร่วมกัน​ ยิ่งทำให้การแพร่ระบาด​ของโรคถูกบิดเบือนไป​ รวมกับความไม่มีประสิทธิภาพ​ในการทำงานของภาครัฐที่มีการปล่อยผ่านนักท่องเที่ยวกลุ่มเสี่ยงกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า​ เข้ามาตามด่านต่างๆได้อย่าง่ายดาย​
หากเราไม่ร่วมด้วยช่วยกันสอดส่องดูแล​ ทั้งตัวเราเอง​ และคนใกล้ชิด​ ไม่ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเสี่ยง​ เราจะกลายเป็นภาระให้กับหมอที่ปกติก็แทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัวอยู่แล้ว​ ให้ความยุติธรรม​กับหมอ​ กับ​ พยาบาล​ ที่เค้าไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดินทางสุดหรรษา​ของคุณเลย​ แต่เค้ากลับต้องเป็นด่านหน้ารับเชื้อต่่อจากคุณทั้งหลาย​ เพื่อ………. เพียงเพราะ…………
#อย่าเห็นแก่ตัว..
#อย่าเป็นภาระให้สังคม
#เริ่มจากดูแลตัวเองเราจะผ่านมันไปได้
#ด้วยความห่วงใย

#สถาบันคิดส์สแควร์

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

มันน่าจะดีนะ

Posted by malinee on Sunday Mar 4, 2018 Under เกร็ดความรู้

ในอาทิตย์หน้าจะมีการสอบ  NT  ของเด็กชั้น ป.3 เรามาดูกันว่าตารางประจำปีของการวัดผลในแต่ละระดับมีอะไรบ้าง เริ่มจาก NT  ซึ่งจะสอบกันในชั้น ป.3 ต่อมาชั้น ป.6 ,ม.3 และ ม.6 สอบโอเน็ต นอกจากนี้ยังมีการสอบกลางของกระทรวงในทุกช่วงชั้นจนสิ้นสุดที่ ม.2  จากการประเมินวัดผลที่จัดขึ้นเกือบทุกปีในเด็กแต่ละคน ทำให้เราคาดหวังว่าการเรียนการสอน ในบ้านเราน่าจะมีประสิทธิภาพ

แต่จากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ พบว่าผลการทดสอบคณิตศาสตร์ผลประเมินออกมาว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับท้ายของประเทศในเอเชีย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อมีการทุ่มเงินไปในอัตราส่วนที่เยอะมากเมื่อเทียบกับงบประมาณในกระทรวงอื่นๆ

สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการทุ่มงบประมาณจำนวนมากไม่ได้ช่วยให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้นแต่อย่างใด แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องมาหาต้นเหตุ เราจะเห็นว่าปัจจุบันนี้สถาบันครอบครัวไม่มีความแข็งแรงอย่างอดีต การดำเนินชีวิตต่างคนต่างมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลาที่จะใส่พูดคุยถึงปัญหาของแต่ละคน พ่อแม่ไม่มีเวลาที่จะดูแลเอาใจใส่บุตรหลาน จนเขาถูกเลี้ยงมาให้อยู่กับเทคโนโลยี ไม่ได้ถูกอบรมให้รู้จักอดทน การรอคอย และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำให้ไม่รู้ว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไร ส่วนอีกหลายๆ ครอบครัวก็มีความพร้อมจนส่งเสริมด้านทักษะและวิชาการอย่างหนัก สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเหลื่อมล้ำ ถึงแม้ว่ารัฐบาลมีการส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐานจนเด็กได้เรียนจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 3 ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผลการประเมินของประเทศไทยสูงขึ้นแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อาจต้องให้ผู้ที่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบหันมาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกันต่อไป

Tags : , , , , , , , , , , , | add comments

จากที่ได้กล่าวเมื่อตอนที่แล้วว่า การรวมเป็นประชาคมอาเซียนนั้นมีความมุ่งหมายเพื่ออะไร คราวนี้เราลองมาดูในแต่ละประเด็นกันดีกว่า

การเป็นฐานการผลิตที่มีฐานการผลิตร่วมกัน สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี ซึ่งมองในแง่ทฤษฏีก็ดูดี แต่ในเชิงปฏิบัตินั้นฐานการผลิตสินค้าหลาย ๆ ชนิด เช่น การเกษตร ไม่สามารถผลิตได้ในทุก ๆ ภาคส่วนของอาเซียน ซึ่งก็จะมีพื้นที่ที่สามารถทำการเกษตรได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ก็มีประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในนั้น นั่นหมายความว่าการเช่า ซื้อพื้นที่ต่าง ๆ ก็จะเป็นที่หมายปองของนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าของพื้นที่ในผืนแผ่นดินไทย อาจมีคนไทยถือครองไม่ถึงครึ่ง  นอกจากพื้นที่ทางการเกษตรที่เป็นที่หมายตาแล้ว มามองดูอุตสาหกรรมการท่องเทียว ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ ก็ยังพบว่า ประเทศไทยสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ทั้งฤดูร้อน (คนมักนิยมเที่ยวทะเล ทั้งทางทิศตะวันออก และทิศใต้) และฤดูหนาว ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวก็เบนไปที่ทิศเหนือของประเทศ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ เราจะเห็นได้ว่าประเทศของเราก็เป็นชิ้นปลามันชิ้นโตของนักลงทุน ที่มักหาประโยชน์กับผู้ถือครองที่ดินที่พร้อมที่จะขายทรัพย์สมบัติเพื่อให้ได้เงินมาซื้อความสะดวกสบายให้กับตนเองและครอบครัว

แต่เมื่อมาพูดถึงบริการ ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่ามี 7 อาชีพที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี นั่นคือ วิศวกร  พยาบาล นักสำรวจ  สถาปนิก  แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชี ซึ่งหากมาตรฐานการศึกษาไทยยังคงไม่ปรับตัว เราจะได้ผู้ที่ทำงานในวิชาชีพต่าง ๆ ในบ้านเราที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือได้รับคัดเลือกผ่านระบบเอ็นทรานซ์ โดยที่มีแต่คู่แข่งที่ไม่กระตือรือร้นในการเรียน เรียนเพื่อให้ได้วุฒิ แต่ไม่มีความรู้ ความสามารถติดตัว พอที่จะทำงานใด ๆ ได้เลย   เหล่านักวิชาชีพที่มีประสิทธิภาพเหล่านั้น ก็คงย้ายตนเองไปอยู่ในสังคม สิ่งแวดล้อม และค่าครองชีพที่ดีขึ้น ซึ่งมันอาจส่งผลให้คุณภาพการรักษาพยาบาล หรือการให้บริการด้านเฉพาะทางต่ำลง

สุดท้ายมากล่าวถึงเรื่องการศึกษา  หลาย ๆ ท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการศึกษาในอาเซียนนั้น เรามีสิงคโปร์เป็นผู้นำอยู่  หากแต่เราดูนโยบายด้านการศึกษาของทางสิงคโปร์ จะพบว่าเขาทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากในเรื่องของการศึกษา เพื่อให้คนในประเทศเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ และนอกจากนี้การศึกษาของประเทศสิงคโปร์ยังเป็นอีกหนึ่งบริการที่เขาเปิดขายด้วย ในทางกลับกันประเทศไทยเราทุ่มงบประมาณต่าง ๆ มากมายไปกับภาคอุตสาหกรรมโดยที่เราไม่มีความรู้ หรือไม่มีแม้นักคิดที่เป็นของเราเอง ไม่ได้มุ่งพัฒนาบุคลากร หรือเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีความคิดสร้างสรรค์

จากบทความที่สรุปมา คงพอมองเห็นภาพกว้าง ๆ ว่าของประชาคมอาเซียน 2558 และจะได้เตรียมตัวให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ให้เขามีความรู้ ความสามารถเพื่อที่จะอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น และอยู่ภายใต้สภาวะของการแข่งขันที่สูงขึ้น

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

            วันที่ 9 ธ.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผย ภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการ “สำรวจสถานการณ์ระดับสติปัญญา  เด็กไทยปี 2554” ซึ่งกรมสุขภาพจิตร่วมกับกรม พินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน ดำเนินการสำรวจระดับสติปัญญาเด็กไทยจำนวนประมาณ 100,000 คนทั่วประเทศ ว่า ข้อมูลจากหนังสือของ Lynn ปี 2006 ได้ทำการสำรวจ IQ ของเด็กทั่วโลก พบว่า IQ ของเด็กไทยอยู่ที่ประมาณ 91 จัดอยู่ในระดับที่ 53 จาก 192 ประเทศทั่วโลก ซึ่งต่ำกว่าระดับ IQ ของเด็กในประเทศอื่นๆในเอเชีย เช่น เด็กในประเทศจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม รวมทั้งมาเลเซีย นอกจากนี้ยังพบว่า ตั้งแต่ปี 2002-2006 อันดับ IQ ของเด็กไทยแทบจะไม่มีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ระดับ IQ ของเด็กเพิ่มจาก 103 ในปี ค.ศ.2002 เป็น 108 ในปี ค.ศ. 2006 ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อนำระดับ IQ แสดงผลเป็นกราฟรูประฆังคว่ำ พบว่า IQ ที่ระดับ 91 ของเด็กไทย มีแนวโน้มที่จะเอียงไปทางซ้ายของกราฟ ซึ่งเป็นด้านที่ตรงข้ามกับระดับการแปรผลที่ฉลาดกว่า รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า จากการศึกษาของ นพ.อีริค อาร์ แคนเดล จิตแพทย์รางวัลโนเบลในปี 2553 พบว่า การเรียนรู้ ความรู้ ความจำ ความคิด อารมณ์ สติปัญญา เกิดจากการที่เซลล์สมองแตกกิ่งมาเชื่อมต่อกันเป็นวงจร สมองส่วนที่มีการจัดระเบียบใยประสาทจะเพิ่มการเชื่อมต่อใหม่ๆเพิ่มขึ้นจำนวน มาก ขณะที่ใยประสาทส่วนที่ไม่ได้ใช้จะหายไป ใยประสาทส่วนที่ใช้บ่อยจะหนาตัวขึ้น ทั้งนี้ ทารกอายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี จะเป็นช่วงที่สมองมีพัฒนาการมากที่สุด ดังนั้น การสร้างการพัฒนาสมองให้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายใยประสาทที่แข็งแรงจะมีส่วน ทำให้เด็กมีระดับ IQ ที่เพิ่มขึ้นด้วย
ด้าน นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า นอกจากระบบใยประสาทในสมองแล้ว ยังพบว่า สิ่งแวดล้อมมีผลต่อการพัฒนาสมองของคนอย่างมาก การวิจัยในสัตว์และคนให้ผลยืนยันตรงกันว่า ความสามารถของสมองในการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า Neuro-Plasticity  หมายถึง การที่เราใช้สมองส่วนใดบ่อยๆ สมองส่วนนั้นจะเจริญเติบโตได้ดี แต่หากเราไม่ได้ใช้สมองส่วนนั้นเลย นานๆเข้า สมองส่วนนั้นก็จะฝ่อไป
           ในปีพ.ศ.2541 มีการศึกษาพบว่า หลังคลอดออกมา สมองเด็กทุกคนทั่วโลกจะมีรูปแบบที่เหมือนกัน แต่วิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ และอบรมเลี้ยงดูต่างกัน
จะทำให้ IQ เด็กต่างกัน เซลล์สมองส่วนไหนที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันจะถูกทำลาย ทำให้ประสิทธิภาพของสมองส่วนนั้นถูกทำลาย เช่นการคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นจะหายไป
จึงมีการสรุปว่า จินตนาการของคนไทยหายไป เนื่องจากเราไม่ค่อยกระตุ้นให้เด็กฝึกคิด
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวอีกว่า ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสมอง
เด็กจำนวนมาก ระบุตรงกันถึงการกระตุ้นการใช้สมองที่เหมาะสม
เช่น การพบว่าสมองของเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีบางส่วนเสียการทำงานไป คล้ายๆกับคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือ เด็กที่ถูกทารุณกรรมจะมีระดับสารความเครียดในเลือดสูง หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ และจะมีปัญหาพัฒนาการสมอง อารมณ์ ความประพฤติ และการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า เด็กที่ได้รับการตอบสนองจากผู้เลี้ยงดูช้า เช่น ปล่อยให้ร้องไห้นานๆ หิวแล้วยังไม่ได้กิน เกิดความกลัวโดยไม่มีใครมาอยู่ใกล้ชิด ไม่มีใครมาสัมผัส
โอบอุ้ม เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตนเอง ไม่มั่นคงในชีวิต หวาดระแวง ฯลฯ
     “ขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์นั้น เซลล์ประสาทจะมีการสร้างขึ้นมากกว่าแสนล้านเซลล์ แต่ถ้าไม่มีการกระตุ้นจะด้วยการเสริมอาหาร หรือการเลี้ยงดู ที่เหมาะสม ก็จะขาดเครือข่ายเส้นใยประสาทที่ยื่นยาวออกมา ที่พร้อมจะส่งเสริมให้เด็กฉลาดและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่เพิ่มขึ้น”นพ.อภิชัย กล่าว

สาเหตุ
    ระดับเฉลี่ยของสติปัญญาเด็กไทย ต่ำกว่า ในประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นๆ ในโลกซึ่งอยู่ที่ 104  เรายังต่ำอยู่ค่อนข้างมาก หลายคนยัง เชื่อว่า เด็กไทยส่วนหนึ่ง ฉลาดมาก เพราะ เท่าที่เห็น ไปแข่งโอลิมปิกวิชาการ ทีไร กวาดชัยชนะทุกที แต่โดยภาพรวม ยังน่าห่วง
สำหรับสาเหตุหลักๆ น่าเกิดจาก
    1.  การขาดไอโอดีน   ไอโอดีนมีผลต่อระดับ IQ  
    2.  การศึกษา ไม่เอื้อต่อการพัฒนา  อาจเป็นเพราะ หลักสูตร  วิธีการสอน  เทคโนโลยียัง
น้อยมาก 3G บ้านเรายังไม่มี 
    3.  สภาพแวดล้อม  ในการเลี้ยงดู
    4.  กรรมพันธุ์ไม่น่ามีผล  เพราะ โดยหลักวิชาการ น่าจะ อยู่ในระดับสูง

จาก : OK Nation blog    วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2553

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , | add comments