May 11
ในช่วงของสถานการณ์ที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆคนมีโอกาสได้อยู่บ้านแบบยาวๆ เด็กๆ เองก็หยุดแบบยาวๆ กัน การมีเวลาว่างๆ ของเด็ก ถ้าเป็นครอบครัวที่สรรหากิจกรรมต่างๆ ได้ทำร่วมกัน ก็จะทำให้เด็กๆ อาจมีเวลาค้นหาตัวตนของตนเองว่าชอบอะไร แต่ในปัจจุบันน่าเสียดายที่เวลาของครอบครัวถูกเบียดด้วยจอสี่เหลี่ยมที่เราเป็นคนพามันเข้าสู่ครอบครัว แล้วทำให้เวลาในการปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัวหายไป ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
จากสถานการณ์ของการระแพร่ระบาด ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ปรากฏการณ์ใหม่ๆ หรืออาจเรียกว่าวิวัฒนาการที่ทำให้การดำรงชีวิตของเราเปลี่ยนแบบไปบ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ คือเด็กในรุ่นนี้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงมาก คงไม่มีพ่อแม่ คนไหนคิิดจะให้บุตรหลานอยู่ภายใต้ปีกที่อบอุ่นของตนเองจนเค้าจากไป เรามีเพียงหน้าที่ที่จะดูแลชี้นำในสิ่งที่ถูกต้องหรือ เลือก#โรงเรียน สังคมให้เขาในวัยเด็กเท่านั้น สิ่งที่เราต้องคิดคือ เราได้เตรียมความพร้อมให้กับเขาสำหรับยุคของการใช AI (Artificial Intelligence) แล้วหรือยัง
ยุคของ AI คืออะไร คือยุคที่มีการเปลี่ยนจากแรงงานคนเป็นคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมด คำว่าแรงงานไม่ได้หมายความแค่ผู้ใช้แรงงาน แต่หมายรวมถึงพนักงานทั่วไป ที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบที่มีฐานข้อมูลของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ด้วยความที่เกิดมาในยุคดิจิทัล ทำให้ทุกอย่างต้องรวดเร็ว จึงขาดทักษะของการรอคอย ไม่เห็นคุณค่าของการสิ่งของที่ได้มาเพราะไม่เคยต้องแลกกับการรอคอย หรือการต้องทำบางอย่างเพื่่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ประกอบกับทางเลือกของพ่อแม่ผู้ปกครอง ทำให้เด็กทุกคนกลายเป็นลูกเทวดาในโรงเรียน เพราะโรงเรียนมีการแข่งขันกันสูงจึงถือว่าเด็กนักเรียนเป็นลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้าต้องมาก่อน เมื่อหันไปหาโรงเรียนทางเลือกอย่างโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งในช่วงของปฐมวัยจนจบระดับประถมศึกษา เน้นการเรียนแบบ child center นั่นคือแบบบูรณาการที่เราคุ้นเคย การเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็ก บางโรงเรียนการบ้านเป็นแบบ optional คือส่งหรือไม่ส่งก็ได้ กลับกลายเป็นทำให้เด็กขาดวินัยอย่างรุนแรง สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เด็กในยุค 4.0 กลับกลายเป็นการบ่มเพาะความเปราะบางทางด้านอารมณ์ ขาดวินัย ไร้ความพยายาม ไม่มีความอดทน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถทำให้เขาเติบโตในยุคของการแข่งขันกับเทคโนโลยีได้เลย
ดังนั้น อย่าให้เขาต้องเผชิญปัญหาในขณะที่เขาไม่สามารถแก้ไขนิสัยได้ เราซึ่งเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นผู้ที่วางกรอบให้ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการตีกรอบ วางให้เขาอยู่ในระเบียบวินัย ใส่ทักษะของการรอคอย ปล่อยให้เรียนรู้ที่จะผิดหวัง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม สร้างภูมิต้านทานให้เขาได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงในเวลาที่เขาต้องเดินโดยไม่มีไหล่คุณให้เกาะ..
#เรามีสิทธิเลือกเส้นมางให้ลูก
#เลือกผิด= เหนื่อยเพิ่มขึ้น
#เลือกถูก= อนาคตที่ดีของลูกเรา
#สถาบันคิดสแควร์
Jun 03
จากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเป็นยุค Globalization ซึ่งทั่วโลกสามารถสื่อสารและมีวิวัฒนาการส่งถึงกันได้อย่างง่ายดาย
จึงทำให้ทุกๆ
วงการรวมไปถึงวงการการศึกษาที่มีการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีและสื่อการสอนจากประเทศต่างๆ
มาช่วยในการสอน หรือบางโรงเรียนในต่างประเทศก็มาเปิดเป็นโรงเรียนทางเลือกในบ้านเรามากมาย
ผู้ปกครองหลายๆ
คนที่มีบุตรหลานที่กำลังจะต้องเข้าโรงเรียน ก็มีโรงเรียนทางเลือกอยู่ มากมาย
แต่หากแยกกันจริงๆ แล้วมีเพียง 2 แนว คือ โรงเรียนในแนวเร่งเรียน
และโรงเรียนในแนวบูรณาการ ซึ่งความแตกต่างกันอยู่ตรงที่นโยบายของโรงเรียนในแนวบูรณาการคือ
การเรียนผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยไม่เร่งให้เด็กได้ขีดเขียน แต่ใช้กิจกรรมในการสอน
ส่วนในแนวของโรงเรียนที่เร่งเรียน ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเร่ง นั่นคือ
เด็กจะต้องเริ่มจับดินสอ ขีดเขียนหนังสือตั้งแต่ในวัยอนุบาล ซึ่งนโยบายแต่ละโรงเรียนก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
โรงเรียนในแนวบูรณาการที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นโรงเรียนในแนวอินเตอร์นั้น ซึ่งหลักๆ
แนวบูรณาการนี้เกิดจากหลักสูตรอังกฤษ หรืออเมริกัน
ซึ่งครูจะมีการพัฒนาอุปกรณ์และวิธีการสอนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วหลักสูตรที่ใช้ส่วนใหญ่ใช้กับประเทศในแถบยุโรป
ซึ่งประเทศต่างๆ เหล่านั้นจะดูแลบุตรหลานจนถึง 7 ปีแล้วจึงส่งเข้าเรียน
และจะสร้างกฎกติกาภายในบ้านให้เด็กต้องทำตาม ให้เด็กรู้จักช่วยเหลือตนเอง
ไม่มีพี่เลี้ยงคอยดูแล ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งเมื่อเขาเข้าสู่โรงเรียน
เขาจะเรียนรู้ที่จะทำตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด และการเรียนการสอนจะเน้น creative thinking คือการให้เด็กได้คิดสร้างสรรค์
คำถามเป็นคำถามปลายเปิดที่คำตอบไม่มีผิดไม่มีถูก
เพื่อให้เด็กได้แสดงความคิดของตนเอง ทำให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก
ส่วนโรงเรียนในแนวเร่งเรียนส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กนั่งเรียน
อ่านเขียนไม่วิ่ง ไม่ซน ไม่เน้นเรื่องการแสดงความคิดเห็น
แต่เน้นการแสดงวิธีทำที่ถูก หรือการหาคำตอบที่ถูกต้อง
โรงเรียนในบ้านเราหลายๆ
โรงเรียนก็นำเอาแนวบูรณาการมาปรับใช้ แล้วนำเป็นนโยบายการเรียนการสอนของโรงเรียน
แต่ความแตกต่างของบ้านเราคือ ครูผู้สอนของบ้านเรา ตอนที่เขาเป็นเด็ก
เขาถูกสอนให้อยู่ในกรอบ ไม่มีการโต้แย้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
นอกจากนั้นครูในบ้านเราเน้นเรื่องการทำวิทยฐานะเพื่อปรับเลื่อนขั้นเพื่อความมั่นคงในอาชีพ
มากกว่าการทุ่มเทให้กับการพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนี้แล้วครอบครัวคนไทยค่อนข้างมองข้ามเรื่องกฎระเบียบ
หรือหน้าที่ความรับผิดชอบ มีข้อแก้ตัวให้กับเด็กว่าเขายังเล็กอยู่ตลอดเวลา
กลายเป็นว่าเด็กถูกละเลยเรื่องการเรียนรู้ เพราะกิจกรรมที่ใช้ในการเรียนที่ทำให้เด็กอ่านออกนั้น
เป็นวิธีการเรียนที่ทำให้เด็กอ่านออกอย่างได้ผลดี แต่แต่ทักษะการอ่านและการการเขียน
เป็นคนละทักษะ ทางบ้านต้องเสริมเรื่องกล้ามเนื้อมือมัดเล็ก เพราะการเขียนต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก
ซึ่งหลายๆ ครอบครัวจะมองข้าม ปล่อยเรื่องการเรียน
เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว ทำให้เด็กเขียนไม่ได้หรือใช้เวลามากกว่าปกติ
หรือเด็กบางคนจะไม่ยอมเขียนเลย เพราะไม่เคยชินกับการขีดเขียน
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเขียนจะรู้สึกเบื่อ หรืออาจถึงขั้นต่อต้าน เพราะมีความรู้สึกเหมือนถูกบังคับ
ทำให้เด็กไม่ชอบการเรียน
จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
ไม่ใช่ว่าโรงเรียนในแนวบูรณาการไม่ดี
เพียงแต่ว่าหากทางครอบครัวมีการเสริมเรื่องกล้ามเนื้อมือมัดเล็กให้กับบุตรหลาน
จะทำให้เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเขียน จะทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
แต่หลายๆ ครอบครัวที่ทิ้งทุกอย่างให้กับโรงเรียน เด็กก็จะมีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไป
แต่หากครอบครัวที่นอกจากทิ้งเรื่องเรียนให้กับโรงเรียน และครอบครัวเป็นผู้ส่งความสุข
(เกมส์ , ทีวี) ให้กับบุตรหลาน เขาจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน
และจะกลายเป็นปัญหาในที่สุด
ดังนั้นก่อนที่จะเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน
เราควรเลือกให้เหมาะกับตัวเด็กและวิธีการดูแลบุตรหลานของเรา
อย่าทิ้งหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งให้กับใคร เพราะการที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้
พ่อแม่ผู้ปกครองมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของเขาตั้งแต่เขาลืมตาดูโลก
Apr 22
มีกระแสของการศึกษาที่มีอยู่เนืองๆ ว่าควรจะมีการยกระดับการศึกษาไทยให้มีคุณภาพดีทั่วประเทศเสียที หลายๆ คนอาจกล่าวว่า ระบบการศึกษาในโรงเรียนควรจะมีการบูรณาการตามความสามารถของเด็ก หรือตามความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความพร้อมและ ความสนใจที่แตกต่างกัน จึงควรมีการจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามความถนัดของเด็ก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงการคัดเลือกข้าราชการครูเข้ามารับหน้าที่ในการสอน ยังไม่ตรงกับความถนัด หรือสาขาวิชาที่เรียนมาเลยด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงคุณภาพของเด็กที่จะได้รับการเรียนการสอนที่ดีเลย นอกจากในส่วนของผู้สอนแล้ว ตัวผู้เรียนก็เป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพในการเรียนด้วย เราต้องยอมรับก่อนว่าเด็กก่อนวัยเรียนในแต่ละครอบครัวก็มีความแตกต่างกันแล้ว ครูไม่ได้กล่าวถึงความพร้อมด้านเศรษฐกิจ แต่ ณ ที่นี้จะกล่าวถึงหน้าที่ในการสร้างความพร้อมในการเรียนรู้ก่อนวัยเรียน เด็กหลายๆ คนถูกปล่อยปละ หรือขาดทักษะทางด้านร่างกาย ซึ่งหมายถึงกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ที่ส่งผลต่อทักษะในการเรียนรู้ในวัยเรียน ที่จะต้องใช้ทักษะพื้นฐานในช่วงก่อนวัยเรียน หลายๆ ครอบครัวที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การเล่นเกมส์เป็นการฝึกทักษะและภาษาให้กับเด็กโดยที่เด็กจะใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวในการเล่นเกมส์ ซึ่งต่างจากการเล่นของเล่นที่เป็นชิ้น ที่สามารถเสริมสร้างทั้งกล้ามเนื้อ ความสัมพันธ์ของการทำงานระหว่างมือกับตา อีกทั้งยังได้เรื่องของจิตนาการอีกด้วย
เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน ก็ไม่มีความพร้อมที่จะเรียน เนื่องจากกล้ามเนื้อไม่พร้อม สมาธิไม่ดี หรือแม้กระทั่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในเรื่องพื้นฐานที่ควรจะถูกฝึกจากบ้าน คิดเพียงแต่ว่าโรงเรียนมีหน้าที่ที่จะสอนให้บุตรหลานอ่านออกเขียนได้ โดยขาดการส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ
มันจะเป็นธรรมกว่าหรือไม่ ถ้าต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ให้ถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างโยนความรับผิดชอบให้พ้นๆ ตนเองไป พ่อแม่ผู้ปกครองก็โยนความรับผิดชอบไปให้โรงเรียน ครูชั้นอนุบาลก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพราะในที่สุดเด็กก็จะต้องขึ้นไปเรียนชั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบในงานเล็กๆ ของตนเอง เราก็ไม่ต้องหันไปพึ่งใครที่มีหน้าที่เพียงไม่กี่ปี หรือไม่กี่วาระที่จะมาแก้ปัญหาการศึกษาของไทยเลย เพราะต่างก็คิดว่า ปีหน้าเราก็หมดวาระ หรือหมดหน้าที่แล้ว เพราะฉะนั้น ครอบครัวจึงเป็นสถาบันเล็กๆ ที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้แข็งแกร่งที่สุด อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า ซึ่งมันไม่มีจริงเลย มันเป็นเพียงภาพลวงตา
Jul 03
วันนี้หัวข้อที่จะเขียนก็สืบเนื่องมาจาก มีผู้ปกครองเดินมาปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนการสอนของโรงเรียนต่างๆ ในแนวอื่นๆ เนื่องจากโรงเรียนที่ลูกแฝดของตนเรียนอยู่นั้น เป็นโรงเรียนในแนวบูรณาการ
เรามารู้จักแนวการเรียนในแนวบูรณาการ เป็นแนวการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งหมายถึงความพร้อมและความสนใจของผู้เรียน สิ่งที่เป็นปัญหาในปัจจุบันก็คือตัวผู้เรียน ซึ่งไม่ค่อยให้ความสนใจในการเรียน ส่งผลให้การเรียนไม่เป็นไปตามแผนการเรียนที่วางไว้ หรือหากต้องการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็จำเป็นจะต้องสอนเนื้อหาในแต่ละบทแบบคร่าวๆ ทำให้เด็กมีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ไม่ดีพอ ประกอบกับการวางมือเรื่องการเรียนให้กับทางโรงเรียนมีหน้าที่รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว ทำให้กว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้ว่าบุตรหลานไม่สามารถนำความรู้ที่เรียนมาไปสอบคัดเลือกที่ไหนได้ ก็สายเกินแก้ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากทุกครอบครัวช่วยกันดูแลเอาใจใส่บุตรหลานตั้งแต่ก่อนวัยเรียน ให้เค้ารักการเรียนรู้ รู้จักสังเกต ให้เขาอยู่ห่างจากเทคโนโลยี ยิ่งนานเท่าไรได้ยิ่งดี ให้เค้าได้สร้างจินตนาการจากการอ่านนิทาน ไม่ใช่การดูการ์ตูน ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยให้กับเค้า เมื่อเข้าสู่วัยเรียนก็เตรียมความพร้อมให้กับเค้าเพื่อให้การเรียนรู้เร็วขึ้น แต่การเอาใจใส่ ไม่ใช่การคิด อ่าน เขียน หรือ ทำทุกอย่างแทนทั้งหมดเพราะเค้าจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยแบ
ครูจา
Mar 23
ช่วงนี้เป็นช่วงของการสอบคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนในแนวสาธิตฯ ของทุก ๆ มหาวิทยาลัย เป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มผู้ปกครองว่า ในการสอบคัดเลือกนั้นมีการแข่งขันกันสูงมาก เช่น การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีอัตราส่วนการแข่งขันสูงถึง 1 : 50 – 1 : 60 เป็นต้น ด้วยอัตราการแข่งขันดังกล่าว จึงทำให้ผู้ปกครองที่มีความต้องการให้บุตรหลาน เรียนในโรงเรียนดังกล่าว จะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อให้เด็กพร้อม โดยการพาเด็ก ๆ ไปติวสอบสาธิต ซึ่งจะมีทั้งการใช้เกมส์และแบบฝึกหัดมากมาย เพื่อฝึกให้เด็กผ่านการทำข้อสอบข้อเขียนในแบบเชาวน์ มีการฝึกให้เด็กทำตามคำสั่งต่าง ๆ เช่นการใช้ปากกาแดงในการทำข้อสอบ การจัดวางรองเท้าหน้าห้องให้เป็นระเบียบ ซึ่งความพร้อมต่าง ๆ เหล่านี้มีผลต่อการตัดสินเด็กเพื่อเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษา ในช่วงของการเตรียมตัวดังกล่าว หลาย ๆ ครอบครัวเลือกการส่งบุตรหลานไปเรียนแนวติวเข้าสาธิต ซึ่งจะต้องมีช่วงของการเรียนแบบเข้ม ใน อาทิตย์หรือ 2 อาทิตย์ก่อนการสอบ ซึ่งเป็นข่วงเวลาที่เด็กบางคน อาจมีความรู้สึกว่า ได้รับความกดดัน จนอาจเกิดความเครียดได้ นอกจากโรงเรียนในแนวสาธิต แล้ว ยังมีโรงเรียนในแนวกระแส ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองนิยมพาลูกเข้าแข่งขัน นั่นได้แก่ โรงเรียนในแนวเซนต์ต่าง ๆ หรือโรงเรียนคริสต์ อีกหลายแห่ง ซึ่งโรงเรียนในแนวนี้จะมีแนวการเรียนการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนในแนวสาธิตโดยสิ้นเชิง นั่นคือ โรงเรียนในแนวนี้ จะมีแนวการเรียนการสอนแบบเร่งเรียน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองมักให้เด็กสอบทั้ง 2 แบบ เนื่องจากช่วงเวลาการสอบที่แตกต่างกัน แนวการเรียนการสอนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนี้ มักมีผลกระทบกับเด็ก ๆ ซึ่งเด็กที่เรียนในแนวสาธิต พ่อแม่ผู้ปกครองมักมีความคิดว่า การเรียนการสอนในแนวสาธิต จะไม่ทันกับการเรียนการสอนของโรงเรียนในแบบเร่งเรียน จึงต้องพาบุตรหลานไปเรียนในแนววิชาการเพิ่มเติม ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่ไม่ใช่ว่าเด็กที่เรียนในแนวโรงเรียนแบบเร่งเรียนจะไม่ได้รับผลกระทบ หากเด็กเริ่มวัยอนุบาลของเขาในแนวบูรณาการ เขาจะต้องมีการปรับตัวอย่างมากในการเข้าเรียนในโรงเรียนแบบเร่งเรียน หากเรียนไม่ทันเพื่อน พ่อแม่ก็ต้องส่งเรียนพิเศษเพื่อให้เขาเรียนทันเพื่อนเช่นกัน
Jan 30
Posted by malinee on Wednesday Jan 30, 2013 Under เกร็ดความรู้
จากที่ได้กล่าวมาในตอนที่แล้วว่า แนวทางหรือนโยบายของโรงเรียนแต่ละโรงเรียนนั้นมีความชัดเจน แต่ตัวพ่อแม่ ผู้ปกครองเอง ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของแนวทางของการเรียนมากนัก ซึ่งปัจจุบันนี้แนวทางของโรงเรียนทางเลือกในบ้านเรามีมากมาย ซึ่งมีแนวทางต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
โรงเรียนในแนว Waldorft แนวการเรียนรู้นี้ มุ่งเน้นการเรียนแบบวนกลับแต่มีความรู้เชิงลึกมากขึ้น (An Ascending Spiral of Knowledge)
การเรียนการสอนในแนว วอล์ดอร์ฟ จะแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ละ 7 ปีโดยจะประกอบด้วย 3 ช่วง
– ช่วงแรกหรือช่วงก่อนวัยเรียน มีแนวคิดว่าจำนวนและตัวเลขไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญกับเด็ก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรู้คุณค่าของตัวเอง ความภูมิใจในตัวเอง ส่วนการเรียนรู้เรื่องตัวเลขหรือสิ่งต่าง ๆ จะผ่านมาทางประสาทสัมผัสและจากประสบการณ์จริง จึงมุ่งเน้นที่งานศิลปะ ดนตรี และกิจกรรมต่าง ๆ ที่สัมผัสได้จริง
– ช่วงที่สอง เป็นช่วงปฐมวัย มุ่งเน้นที่การพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์ และทักษะของการอยู่ร่วมกันในสังคม และยังเป็นข่วงวัยที่มีการกระตุ้นทั้งเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ควบคู่กับการคิดวิเคราะห์ การเขียนจะเป็นการเรียนผ่านการวาด การระบายสี ส่วนวิทยาศาสตร์ จะเป็นการสอนถึงธรรมชาติรอบตัว โดยในแต่ละวิชาจะมีการเชื่อมโยงกันด้วยศิลปะ
– ช่วงที่สาม มุ่งเน้นทางด้านวิชาการ กระบวนการคิดที่เป็นขั้นเป็นตอน
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น เราจะพบว่า แนวทางการเรียนการสอนของระบบชัดเจน เพียงแต่ว่าสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องพิจารณาคือ ความต่อเนื่องของโรงเรียนในบ้านเราว่ามีความต่อเนื่องถึงวัยใด และนโยบายที่วางไว้ครูผู้สอน มีศักยภาพ ความทุ่มเท มากน้อยเพียงใด
ครูจา
Jan 17
Posted by malinee on Thursday Jan 17, 2013 Under เกร็ดความรู้
ในช่วงปลายของแต่ละปีการศึกษา ก็จะมีการสอบเข้า หรือสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้า ป.1 หรือ การสอบเข้า ม. 1 แต่การที่คุณพ่อ คุณแม่จะสมัครสอบในโรงเรียนใด ก็ควรจะศึกษา ทำความเข้าใจกับการเลือกโรงเรียนในแต่ละแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้าตัวน้อยที่พร้อมที่จะเติบโตในสังคมของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
จากวิวัฒนาการของโลกไร้พรมแดน ซึ่งมีผลทำให้การติดต่อสื่อสาร การคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการโอนถ่ายทั้งสินค้า และบริการกันอย่างกว้างขวาง การศึกษาจึงมีทางเลือก หรือมีความหลายหลายมากขึ้นกว่าอดีตมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองควรจะให้ความสำคัญกับการเลือกโรงเรียนในข่วงปฐมวัยให้มีความเหมาะสมกับบุตรหลาน เพื่อความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย และเวลาให้มากที่สุด ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ว่า แนวการเรียนนี้เหมาะกับใครได้เท่ากับ การสังเกตดูพฤติกรรมการเล่นของลูกตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หลาย ๆ คนอาจคิดว่าการเลือกโรงเรียนให้กับลูกไม่ได้มีผลอะไรกับการเรียนรู้ของเด็ก แต่ในความเป็นจริงนั้น เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่นเด็กบางคนเหมาะกับการเรียนผ่านการเล่น ซึ่งเค้ามักเรียนรู้ช้าหากอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบังคับ แต่เด็กหลายคนก็สามารถทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ทำได้ โดยไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ หรือเครียด ด้วยเหตุนี้อาจทำให้เด็กหลาย ๆ คน เรียนในโรงเรียนที่พ่อแม่ต้องการให้เรียน มากกว่าความเหมาะสมของการเรียนรู้ของเขา จึงทำให้เมื่อโตขึ้นอาจเกิดการสะสมปัญหาของการเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อย
ครูจา
Mar 03
Posted by malinee on Thursday Mar 3, 2011 Under เกร็ดความรู้
ปัจจุบันนี้การศึกษาปฐมวัยของบ้านเรามีหลายหลายแนวการศึกษาให้เลือกมากมาย ทั้งแบบบูรณาการ แบบมอนเตสเซอรี่ แบบวอลดอร์ฟ หรือแม้กระทั่งแบบเร่งเขียนอ่าน ซึ่งในหแต่ละแบบก็มีแนวการศึกษา หรือหลักแนวคิดที่แตกต่างกัน
การเรียนในแบบบูรณาการ จะเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นั่นคือเรียนตามความสนใจของผู้เรียน เน้นความรู้แบบองค์รวมไม่ได้เน้นรายวิชา ซึ่งหมายความว่าการเรียนจะมีอยู่ภายใต้หัวข้อเดียวกัน และเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การเรียนแบบมอนเตสเซอรี่เป็นระบบการศึกษาที่เน้นให้เด็กๆใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างมีระบบแบบแผนโดยเฉพาะเรื่องการฝึกให้เด็กมีระเบียบ วินัย และพัฒนาการทั้งความคิด อารมณ์ และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย โดยผ่านสื่อการเรียนการสอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของมอนเตสเซอรี่
การเรียนแบบวอลดอร์ฟ เป็นการเรียนที่ให้อิสระกับผู้เรียน เรียนผ่านการเล่น ฝึกให้เด็กได้รับประสบการณ์จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำในแต่ละวัน เสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กผ่านกิจกรรมต่าง ๆ
จากแนวการเรียนการสอนที่หลากหลายดังกล่าวข้างต้น มีทั้งข้อดี ข้อเสีย นั่นคือ ผู้ปกครองมีแนวทางเลือกที่เพื่อเหมาะสมกับลูกหลานมากขึ้น แต่ในบางครั้งหากไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ อาจทำให้เด็กต้องพบกับปัญหาของการปรับตัวเมื่อต้องย้ายโรงเรียนเมื่อเด็กโตขึ้น
ดังนั้นควรมีการหาข้อมูลต่าง ๆ ทั้งข้อมูลของแนวการเรียนของสถานศึกษา ลักษณะการเรียนที่เหมาะกับเด็ก หรือแม้กระทั่งความต่อเนื่องในแนวการเรียนแต่ละแนว เพื่อให้เด็กมีความสุขในการเรียน และมีความกระตือรือร้น ความเอาใจใส่ในหน้าที่ของตนเองเมื่อโตขึ้น