ในช่วงของสถานการณ์​ที่พ่อ​แม่ผู้ปกครอง​หลายๆ​คน​มีโอกาส​ได้อยู่บ้านแบบยาวๆ​ เด็กๆ​ เองก็หยุดแบบยาวๆ​ กัน​ การมีเวลาว่างๆ​ ของเด็ก ถ้าเป็นครอบครัวที่สรรหากิจกรรม​ต่างๆ​ ได้ทำร่วมกัน​ ก็จะทำให้เด็กๆ​ อาจมีเวลาค้นหาตัวตนของตนเองว่าชอบอะไร​ แต่ในปัจจุบันน่าเสียดายที่เวลาของครอบครัว​ถูกเบียดด้วยจอสี่เหลี่ยม​ที่เราเป็นคนพามันเข้าสู่ครอบครัว​ แล้วทำให้เวลาในการปฏิสัมพันธ์​กันในครอบครัว​หายไป​ ทั้งๆ​ ที่อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
จากสถานการณ์​ของการระแพร่ระบาด​ ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ​ ปรากฏ​การณ์ใหม่ๆ​ หรืออาจเรียกว่าวิวัฒนาการ​ที่ทำให้การดำรงชีวิต​ของเราเปลี่ยนแบบไปบ้างไม่มากก็น้อย​ แต่ที่แน่ๆ​ คือ​เด็กในรุ่นนี้ต้องเผชิญ​กับการแข่งขันที่สูงมาก​ คงไม่มีพ่อแม่​ คนไหนคิิดจะให้บุตรหลานอยู่ภายใต้ปีกที่อบอุ่นของตนเองจนเค้าจากไป​ เรามีเพียงหน้าที่ที่จะดูแล​ชี้นำในสิ่งที่ถูกต้องหรือ​ เลือก#โรงเรียน สังคมให้เขาในวัยเด็กเท่านั้น​ สิ่งที่เราต้องคิดคือ​ เราได้เตรียมความพร้อมให้กับเขาสำหรับยุคของการใช​ AI (Artificial Intelligence) แล้วหรือยัง​
ยุคของ​ AI คืออะไร​ คือยุคที่มีการเปลี่ยนจากแรงงานคนเป็นคอมพิวเตอร์​เกือบทั้งหมด​ คำว่าแรงงานไม่ได้หมายความแค่ผู้ใช้แรงงาน​ แต่หมายรวมถึงพนักงาน​ทั่วไป​ ที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบที่มีฐานข้อมูล​ของคอมพิวเตอร์​ทั้งหมด​ ด้วยความที่เกิดมาในยุคดิจิทัล​ ทำให้ทุกอย่างต้องรวดเร็ว​ จึงขาดทักษะ​ของการรอคอย​ ไม่เห็นคุณค่า​ของการสิ่งของที่ได้มา​เพราะไม่เคยต้องแลกกับการรอคอย​ หรือการต้องทำบางอย่างเพื่่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ประกอบกับทางเลือกของพ่อแม่ผู้ปกครอง​ ทำให้เด็กทุกคนกลายเป็นลูกเทวดาในโรงเรียน​ เพราะโรงเรียนมีการแข่งขันกันสูงจึงถือว่าเด็กนักเรียนเป็นลูกค้า​ ความพึงพอใจ​ของลูกค้าต้องมาก่อน​ เมื่อหันไปหาโรงเรียนทางเลือกอย่างโรงเรียนอินเตอร์​ ซึ่งในช่วงของปฐมวัยจนจบระดับประถมศึกษา​ เน้นการเรียนแบบ​ child center นั่นคือแบบบูรณาการ​ที่เราคุ้นเคย​ การเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็ก บางโรงเรียนการบ้านเป็นแบบ​ optional คือส่งหรือไม่ส่งก็ได้​ กลับกลายเป็นทำให้เด็กขาดวินัยอย่างรุนแรง สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เด็กในยุค​ ​4.0 กลับกลายเป็นการบ่มเพาะความเปราะบาง​ทางด้านอารมณ์​ ขาดวินัย​ ไร้ความพยายาม​ ไม่มีความอดทน​ สิ่งต่างๆ​ เหล่านี้​ไม่สามารถ​ทำให้เขาเติบโตในยุคของการแข่งขันกับเทคโนโลยี​ได้เลย
ดังนั้น​ อย่าให้เขาต้องเผชิญ​ปัญหา​ในขณะที่เขาไม่สามารถแก้ไขนิสัยได้​ เราซึ่งเป็นพ่อแม่​ ผู้ปกครอง​ เป็นผู้ที่วางกรอบให้​ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการตีกรอบ​ วางให้เขาอยู่ในระเบียบวินัย​ ใส่ทักษะของการรอคอย​ ปล่อยให้เรียนรู้ที่จะผิดหวัง​ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม​ สร้างภูมิต้านทานให้เขาได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงในเวลาที่เขาต้องเดินโดยไม่มีไหล่คุณให้เกาะ..
#เรามีสิทธิเลือกเส้นมางให้ลูก
#เลือกผิด= เหนื่อยเพิ่มขึ้น
#เลือกถูก= อนาคตที่ดีของลูกเรา
#สถาบันคิดสแควร์

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

          จากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเป็นยุค Globalization ซึ่งทั่วโลกสามารถสื่อสารและมีวิวัฒนาการส่งถึงกันได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้ทุกๆ วงการรวมไปถึงวงการการศึกษาที่มีการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีและสื่อการสอนจากประเทศต่างๆ มาช่วยในการสอน หรือบางโรงเรียนในต่างประเทศก็มาเปิดเป็นโรงเรียนทางเลือกในบ้านเรามากมาย

            ผู้ปกครองหลายๆ คนที่มีบุตรหลานที่กำลังจะต้องเข้าโรงเรียน ก็มีโรงเรียนทางเลือกอยู่ มากมาย แต่หากแยกกันจริงๆ แล้วมีเพียง 2 แนว คือ โรงเรียนในแนวเร่งเรียน และโรงเรียนในแนวบูรณาการ ซึ่งความแตกต่างกันอยู่ตรงที่นโยบายของโรงเรียนในแนวบูรณาการคือ การเรียนผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยไม่เร่งให้เด็กได้ขีดเขียน แต่ใช้กิจกรรมในการสอน ส่วนในแนวของโรงเรียนที่เร่งเรียน ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเร่ง นั่นคือ เด็กจะต้องเริ่มจับดินสอ ขีดเขียนหนังสือตั้งแต่ในวัยอนุบาล ซึ่งนโยบายแต่ละโรงเรียนก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน โรงเรียนในแนวบูรณาการที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นโรงเรียนในแนวอินเตอร์นั้น ซึ่งหลักๆ แนวบูรณาการนี้เกิดจากหลักสูตรอังกฤษ หรืออเมริกัน ซึ่งครูจะมีการพัฒนาอุปกรณ์และวิธีการสอนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วหลักสูตรที่ใช้ส่วนใหญ่ใช้กับประเทศในแถบยุโรป ซึ่งประเทศต่างๆ เหล่านั้นจะดูแลบุตรหลานจนถึง 7 ปีแล้วจึงส่งเข้าเรียน และจะสร้างกฎกติกาภายในบ้านให้เด็กต้องทำตาม ให้เด็กรู้จักช่วยเหลือตนเอง ไม่มีพี่เลี้ยงคอยดูแล ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งเมื่อเขาเข้าสู่โรงเรียน เขาจะเรียนรู้ที่จะทำตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด และการเรียนการสอนจะเน้น creative thinking คือการให้เด็กได้คิดสร้างสรรค์ คำถามเป็นคำถามปลายเปิดที่คำตอบไม่มีผิดไม่มีถูก เพื่อให้เด็กได้แสดงความคิดของตนเอง ทำให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก ส่วนโรงเรียนในแนวเร่งเรียนส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กนั่งเรียน อ่านเขียนไม่วิ่ง ไม่ซน ไม่เน้นเรื่องการแสดงความคิดเห็น แต่เน้นการแสดงวิธีทำที่ถูก หรือการหาคำตอบที่ถูกต้อง

            โรงเรียนในบ้านเราหลายๆ โรงเรียนก็นำเอาแนวบูรณาการมาปรับใช้ แล้วนำเป็นนโยบายการเรียนการสอนของโรงเรียน แต่ความแตกต่างของบ้านเราคือ ครูผู้สอนของบ้านเรา ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาถูกสอนให้อยู่ในกรอบ ไม่มีการโต้แย้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นอกจากนั้นครูในบ้านเราเน้นเรื่องการทำวิทยฐานะเพื่อปรับเลื่อนขั้นเพื่อความมั่นคงในอาชีพ มากกว่าการทุ่มเทให้กับการพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนี้แล้วครอบครัวคนไทยค่อนข้างมองข้ามเรื่องกฎระเบียบ หรือหน้าที่ความรับผิดชอบ มีข้อแก้ตัวให้กับเด็กว่าเขายังเล็กอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นว่าเด็กถูกละเลยเรื่องการเรียนรู้ เพราะกิจกรรมที่ใช้ในการเรียนที่ทำให้เด็กอ่านออกนั้น เป็นวิธีการเรียนที่ทำให้เด็กอ่านออกอย่างได้ผลดี แต่แต่ทักษะการอ่านและการการเขียน เป็นคนละทักษะ ทางบ้านต้องเสริมเรื่องกล้ามเนื้อมือมัดเล็ก เพราะการเขียนต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ซึ่งหลายๆ ครอบครัวจะมองข้าม ปล่อยเรื่องการเรียน เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว ทำให้เด็กเขียนไม่ได้หรือใช้เวลามากกว่าปกติ หรือเด็กบางคนจะไม่ยอมเขียนเลย เพราะไม่เคยชินกับการขีดเขียน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเขียนจะรู้สึกเบื่อ หรืออาจถึงขั้นต่อต้าน เพราะมีความรู้สึกเหมือนถูกบังคับ ทำให้เด็กไม่ชอบการเรียน

            จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ใช่ว่าโรงเรียนในแนวบูรณาการไม่ดี เพียงแต่ว่าหากทางครอบครัวมีการเสริมเรื่องกล้ามเนื้อมือมัดเล็กให้กับบุตรหลาน จะทำให้เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเขียน จะทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แต่หลายๆ ครอบครัวที่ทิ้งทุกอย่างให้กับโรงเรียน เด็กก็จะมีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไป แต่หากครอบครัวที่นอกจากทิ้งเรื่องเรียนให้กับโรงเรียน และครอบครัวเป็นผู้ส่งความสุข (เกมส์ , ทีวี) ให้กับบุตรหลาน เขาจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน และจะกลายเป็นปัญหาในที่สุด 

ดังนั้นก่อนที่จะเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน เราควรเลือกให้เหมาะกับตัวเด็กและวิธีการดูแลบุตรหลานของเรา อย่าทิ้งหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งให้กับใคร เพราะการที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้ พ่อแม่ผู้ปกครองมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของเขาตั้งแต่เขาลืมตาดูโลก  

Tags : , , , , , , | add comments

ภาพลวงตา

Posted by malinee on Sunday Apr 22, 2018 Under เกร็ดความรู้

มีกระแสของการศึกษาที่มีอยู่เนืองๆ ว่าควรจะมีการยกระดับการศึกษาไทยให้มีคุณภาพดีทั่วประเทศเสียที  หลายๆ คนอาจกล่าวว่า ระบบการศึกษาในโรงเรียนควรจะมีการบูรณาการตามความสามารถของเด็ก หรือตามความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความพร้อมและ ความสนใจที่แตกต่างกัน จึงควรมีการจัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามความถนัดของเด็ก

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงการคัดเลือกข้าราชการครูเข้ามารับหน้าที่ในการสอน ยังไม่ตรงกับความถนัด หรือสาขาวิชาที่เรียนมาเลยด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงคุณภาพของเด็กที่จะได้รับการเรียนการสอนที่ดีเลย นอกจากในส่วนของผู้สอนแล้ว ตัวผู้เรียนก็เป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพในการเรียนด้วย เราต้องยอมรับก่อนว่าเด็กก่อนวัยเรียนในแต่ละครอบครัวก็มีความแตกต่างกันแล้ว ครูไม่ได้กล่าวถึงความพร้อมด้านเศรษฐกิจ แต่ ณ ที่นี้จะกล่าวถึงหน้าที่ในการสร้างความพร้อมในการเรียนรู้ก่อนวัยเรียน เด็กหลายๆ คนถูกปล่อยปละ หรือขาดทักษะทางด้านร่างกาย ซึ่งหมายถึงกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ที่ส่งผลต่อทักษะในการเรียนรู้ในวัยเรียน ที่จะต้องใช้ทักษะพื้นฐานในช่วงก่อนวัยเรียน หลายๆ ครอบครัวที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า การเล่นเกมส์เป็นการฝึกทักษะและภาษาให้กับเด็กโดยที่เด็กจะใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวในการเล่นเกมส์ ซึ่งต่างจากการเล่นของเล่นที่เป็นชิ้น ที่สามารถเสริมสร้างทั้งกล้ามเนื้อ ความสัมพันธ์ของการทำงานระหว่างมือกับตา อีกทั้งยังได้เรื่องของจิตนาการอีกด้วย

เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียน ก็ไม่มีความพร้อมที่จะเรียน เนื่องจากกล้ามเนื้อไม่พร้อม สมาธิไม่ดี หรือแม้กระทั่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองในเรื่องพื้นฐานที่ควรจะถูกฝึกจากบ้าน คิดเพียงแต่ว่าโรงเรียนมีหน้าที่ที่จะสอนให้บุตรหลานอ่านออกเขียนได้ โดยขาดการส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ

มันจะเป็นธรรมกว่าหรือไม่ ถ้าต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ให้ถูกที่ถูกเวลา ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างโยนความรับผิดชอบให้พ้นๆ ตนเองไป พ่อแม่ผู้ปกครองก็โยนความรับผิดชอบไปให้โรงเรียน ครูชั้นอนุบาลก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพราะในที่สุดเด็กก็จะต้องขึ้นไปเรียนชั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบในงานเล็กๆ ของตนเอง เราก็ไม่ต้องหันไปพึ่งใครที่มีหน้าที่เพียงไม่กี่ปี หรือไม่กี่วาระที่จะมาแก้ปัญหาการศึกษาของไทยเลย เพราะต่างก็คิดว่า ปีหน้าเราก็หมดวาระ หรือหมดหน้าที่แล้ว เพราะฉะนั้น ครอบครัวจึงเป็นสถาบันเล็กๆ ที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้แข็งแกร่งที่สุด อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า ซึ่งมันไม่มีจริงเลย มันเป็นเพียงภาพลวงตา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

อย่าวางมือ

Posted by malinee on Sunday Jul 3, 2016 Under เกร็ดความรู้

palliative-care-hold-hands-22024209            วันนี้หัวข้อที่จะเขียนก็สืบเนื่องมาจาก มีผู้ปกครองเดินมาปรึกษาเกี่ยวกับการเรียนการสอนของโรงเรียนต่างๆ ในแนวอื่นๆ เนื่องจากโรงเรียนที่ลูกแฝดของตนเรียนอยู่นั้น เป็นโรงเรียนในแนวบูรณาการ

เรามารู้จักแนวการเรียนในแนวบูรณาการ เป็นแนวการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งหมายถึงความพร้อมและความสนใจของผู้เรียน สิ่งที่เป็นปัญหาในปัจจุบันก็คือตัวผู้เรียน ซึ่งไม่ค่อยให้ความสนใจในการเรียน ส่งผลให้การเรียนไม่เป็นไปตามแผนการเรียนที่วางไว้ หรือหากต้องการให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็จำเป็นจะต้องสอนเนื้อหาในแต่ละบทแบบคร่าวๆ ทำให้เด็กมีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ไม่ดีพอ ประกอบกับการวางมือเรื่องการเรียนให้กับทางโรงเรียนมีหน้าที่รับผิดชอบเพียงฝ่ายเดียว ทำให้กว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะรู้ว่าบุตรหลานไม่สามารถนำความรู้ที่เรียนมาไปสอบคัดเลือกที่ไหนได้ ก็สายเกินแก้ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากทุกครอบครัวช่วยกันดูแลเอาใจใส่บุตรหลานตั้งแต่ก่อนวัยเรียน ให้เค้ารักการเรียนรู้ รู้จักสังเกต ให้เขาอยู่ห่างจากเทคโนโลยี ยิ่งนานเท่าไรได้ยิ่งดี ให้เค้าได้สร้างจินตนาการจากการอ่านนิทาน ไม่ใช่การดูการ์ตูน ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยให้กับเค้า เมื่อเข้าสู่วัยเรียนก็เตรียมความพร้อมให้กับเค้าเพื่อให้การเรียนรู้เร็วขึ้น แต่การเอาใจใส่ ไม่ใช่การคิด อ่าน เขียน หรือ ทำทุกอย่างแทนทั้งหมดเพราะเค้าจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยแบ

ครูจา

Tags : , , , , , , , | add comments

หนูเหนื่อยจัง

Posted by malinee on Sunday Mar 23, 2014 Under เกร็ดความรู้

ช่วงนี้เป็นช่วงของการสอบคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนในแนวสาธิตฯ ของทุก ๆ มหาวิทยาลัย เป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มผู้ปกครองว่า ในการสอบคัดเลือกนั้นมีการแข่งขันกันสูงมาก เช่น การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีอัตราส่วนการแข่งขันสูงถึง 1 : 50 – 1 : 60 เป็นต้น ด้วยอัตราการแข่งขันดังกล่าว จึงทำให้ผู้ปกครองที่มีความต้องการให้บุตรหลาน เรียนในโรงเรียนดังกล่าว จะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อให้เด็กพร้อม โดยการพาเด็ก ๆ ไปติวสอบสาธิต ซึ่งจะมีทั้งการใช้เกมส์และแบบฝึกหัดมากมาย เพื่อฝึกให้เด็กผ่านการทำข้อสอบข้อเขียนในแบบเชาวน์ มีการฝึกให้เด็กทำตามคำสั่งต่าง ๆ เช่นการใช้ปากกาแดงในการทำข้อสอบ การจัดวางรองเท้าหน้าห้องให้เป็นระเบียบ ซึ่งความพร้อมต่าง ๆ เหล่านี้มีผลต่อการตัดสินเด็กเพื่อเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษา ในช่วงของการเตรียมตัวดังกล่าว หลาย ๆ ครอบครัวเลือกการส่งบุตรหลานไปเรียนแนวติวเข้าสาธิต ซึ่งจะต้องมีช่วงของการเรียนแบบเข้ม ใน อาทิตย์หรือ 2 อาทิตย์ก่อนการสอบ ซึ่งเป็นข่วงเวลาที่เด็กบางคน อาจมีความรู้สึกว่า ได้รับความกดดัน จนอาจเกิดความเครียดได้ นอกจากโรงเรียนในแนวสาธิต แล้ว ยังมีโรงเรียนในแนวกระแส ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองนิยมพาลูกเข้าแข่งขัน นั่นได้แก่ โรงเรียนในแนวเซนต์ต่าง ๆ หรือโรงเรียนคริสต์ อีกหลายแห่ง ซึ่งโรงเรียนในแนวนี้จะมีแนวการเรียนการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนในแนวสาธิตโดยสิ้นเชิง นั่นคือ โรงเรียนในแนวนี้ จะมีแนวการเรียนการสอนแบบเร่งเรียน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองมักให้เด็กสอบทั้ง 2 แบบ เนื่องจากช่วงเวลาการสอบที่แตกต่างกัน แนวการเรียนการสอนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนี้ มักมีผลกระทบกับเด็ก ๆ ซึ่งเด็กที่เรียนในแนวสาธิต พ่อแม่ผู้ปกครองมักมีความคิดว่า การเรียนการสอนในแนวสาธิต จะไม่ทันกับการเรียนการสอนของโรงเรียนในแบบเร่งเรียน จึงต้องพาบุตรหลานไปเรียนในแนววิชาการเพิ่มเติม ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่ไม่ใช่ว่าเด็กที่เรียนในแนวโรงเรียนแบบเร่งเรียนจะไม่ได้รับผลกระทบ หากเด็กเริ่มวัยอนุบาลของเขาในแนวบูรณาการ เขาจะต้องมีการปรับตัวอย่างมากในการเข้าเรียนในโรงเรียนแบบเร่งเรียน หากเรียนไม่ทันเพื่อน พ่อแม่ก็ต้องส่งเรียนพิเศษเพื่อให้เขาเรียนทันเพื่อนเช่นกัน

Tags : , , , , , , , , | add comments

จากที่ได้กล่าวมาในตอนที่แล้วว่า แนวทางหรือนโยบายของโรงเรียนแต่ละโรงเรียนนั้นมีความชัดเจน แต่ตัวพ่อแม่ ผู้ปกครองเอง ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของแนวทางของการเรียนมากนัก  ซึ่งปัจจุบันนี้แนวทางของโรงเรียนทางเลือกในบ้านเรามีมากมาย ซึ่งมีแนวทางต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

โรงเรียนในแนว Waldorft แนวการเรียนรู้นี้ มุ่งเน้นการเรียนแบบวนกลับแต่มีความรู้เชิงลึกมากขึ้น (An Ascending Spiral of Knowledge)                          

 

การเรียนการสอนในแนว วอล์ดอร์ฟ จะแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ละ 7 ปีโดยจะประกอบด้วย 3 ช่วง

–          ช่วงแรกหรือช่วงก่อนวัยเรียน มีแนวคิดว่าจำนวนและตัวเลขไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญกับเด็ก แต่สิ่งที่สำคัญคือการรู้คุณค่าของตัวเอง ความภูมิใจในตัวเอง ส่วนการเรียนรู้เรื่องตัวเลขหรือสิ่งต่าง ๆ จะผ่านมาทางประสาทสัมผัสและจากประสบการณ์จริง จึงมุ่งเน้นที่งานศิลปะ ดนตรี และกิจกรรมต่าง ๆ ที่สัมผัสได้จริง

–          ช่วงที่สอง เป็นช่วงปฐมวัย มุ่งเน้นที่การพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์ และทักษะของการอยู่ร่วมกันในสังคม   และยังเป็นข่วงวัยที่มีการกระตุ้นทั้งเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ควบคู่กับการคิดวิเคราะห์ การเขียนจะเป็นการเรียนผ่านการวาด การระบายสี ส่วนวิทยาศาสตร์ จะเป็นการสอนถึงธรรมชาติรอบตัว โดยในแต่ละวิชาจะมีการเชื่อมโยงกันด้วยศิลปะ

–          ช่วงที่สาม มุ่งเน้นทางด้านวิชาการ กระบวนการคิดที่เป็นขั้นเป็นตอน

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น เราจะพบว่า แนวทางการเรียนการสอนของระบบชัดเจน เพียงแต่ว่าสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องพิจารณาคือ ความต่อเนื่องของโรงเรียนในบ้านเราว่ามีความต่อเนื่องถึงวัยใด และนโยบายที่วางไว้ครูผู้สอน มีศักยภาพ ความทุ่มเท มากน้อยเพียงใด

ครูจา

 

Tags : , , , , , , , , , , | add comments

Cool_Cartoon_School_Bus_Clipart-1LGในช่วงปลายของแต่ละปีการศึกษา ก็จะมีการสอบเข้า หรือสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้า ป.1  หรือ การสอบเข้า ม. 1 แต่การที่คุณพ่อ คุณแม่จะสมัครสอบในโรงเรียนใด ก็ควรจะศึกษา ทำความเข้าใจกับการเลือกโรงเรียนในแต่ละแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับเจ้าตัวน้อยที่พร้อมที่จะเติบโตในสังคมของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน

จากวิวัฒนาการของโลกไร้พรมแดน ซึ่งมีผลทำให้การติดต่อสื่อสาร การคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการโอนถ่ายทั้งสินค้า และบริการกันอย่างกว้างขวาง การศึกษาจึงมีทางเลือก หรือมีความหลายหลายมากขึ้นกว่าอดีตมาก ด้วยเหตุนี้เองทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองควรจะให้ความสำคัญกับการเลือกโรงเรียนในข่วงปฐมวัยให้มีความเหมาะสมกับบุตรหลาน เพื่อความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย และเวลาให้มากที่สุด ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีใครสามารถบอกเราได้ว่า แนวการเรียนนี้เหมาะกับใครได้เท่ากับ การสังเกตดูพฤติกรรมการเล่นของลูกตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หลาย ๆ คนอาจคิดว่าการเลือกโรงเรียนให้กับลูกไม่ได้มีผลอะไรกับการเรียนรู้ของเด็ก  แต่ในความเป็นจริงนั้น เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่นเด็กบางคนเหมาะกับการเรียนผ่านการเล่น ซึ่งเค้ามักเรียนรู้ช้าหากอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบังคับ แต่เด็กหลายคนก็สามารถทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการให้ทำได้ โดยไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ หรือเครียด ด้วยเหตุนี้อาจทำให้เด็กหลาย ๆ คน เรียนในโรงเรียนที่พ่อแม่ต้องการให้เรียน มากกว่าความเหมาะสมของการเรียนรู้ของเขา จึงทำให้เมื่อโตขึ้นอาจเกิดการสะสมปัญหาของการเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อย

ครูจา
Tags : , , , , , , , , , , | add comments

           ปัจจุบันนี้การศึกษาปฐมวัยของบ้านเรามีหลายหลายแนวการศึกษาให้เลือกมากมาย ทั้งแบบบูรณาการ  แบบมอนเตสเซอรี่ แบบวอลดอร์ฟ หรือแม้กระทั่งแบบเร่งเขียนอ่าน ซึ่งในหแต่ละแบบก็มีแนวการศึกษา หรือหลักแนวคิดที่แตกต่างกัน
การเรียนในแบบบูรณาการ จะเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นั่นคือเรียนตามความสนใจของผู้เรียน เน้นความรู้แบบองค์รวมไม่ได้เน้นรายวิชา ซึ่งหมายความว่าการเรียนจะมีอยู่ภายใต้หัวข้อเดียวกัน และเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 
          การเรียนแบบมอนเตสเซอรี่เป็นระบบการศึกษาที่เน้นให้เด็กๆใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างมีระบบแบบแผนโดยเฉพาะเรื่องการฝึกให้เด็กมีระเบียบ วินัย และพัฒนาการทั้งความคิด อารมณ์ และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย โดยผ่านสื่อการเรียนการสอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของมอนเตสเซอรี่
          การเรียนแบบวอลดอร์ฟ เป็นการเรียนที่ให้อิสระกับผู้เรียน เรียนผ่านการเล่น ฝึกให้เด็กได้รับประสบการณ์จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำในแต่ละวัน เสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กผ่านกิจกรรมต่าง ๆ
          จากแนวการเรียนการสอนที่หลากหลายดังกล่าวข้างต้น มีทั้งข้อดี ข้อเสีย นั่นคือ ผู้ปกครองมีแนวทางเลือกที่เพื่อเหมาะสมกับลูกหลานมากขึ้น แต่ในบางครั้งหากไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ อาจทำให้เด็กต้องพบกับปัญหาของการปรับตัวเมื่อต้องย้ายโรงเรียนเมื่อเด็กโตขึ้น 
 ดังนั้นควรมีการหาข้อมูลต่าง ๆ ทั้งข้อมูลของแนวการเรียนของสถานศึกษา ลักษณะการเรียนที่เหมาะกับเด็ก หรือแม้กระทั่งความต่อเนื่องในแนวการเรียนแต่ละแนว เพื่อให้เด็กมีความสุขในการเรียน และมีความกระตือรือร้น ความเอาใจใส่ในหน้าที่ของตนเองเมื่อโตขึ้น

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments