Jul 27
การเรียนของเด็กๆ นั้น วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่พ่อแม่ผู้ปกครองมักให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ นั่นอาจเกิดจากเหตุผลหลายประการ เช่น ตัวพ่อแม่ผู้ปกครองเองไม่ชอบคณิตศาสตร์ จึงไม่อยากให้บุตรหลานไม่ชอบคณิตศาสตร์เหมือนตนเอง หรืออาจเนื่องมาจากพ่อแม่ผู้ปกครองเห็นว่าหากเด็กๆ ไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ จะส่งผลระยะยาวจนเขาโตขึ้น โอกาสในการเลือกเรียนนสาขาวิชาต่างๆ ก็จะน้อยลงด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายๆ ครอบครัวจึงปูพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กตั้งแต่ปฐมวัย บางครอบครัวก็เลือกวิธีที่จะสอนเอง โดยใช้สิ่งของเป็นสื่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่หลายๆ ครอบครัวใช้วิธีการส่งบุตรหลานเรียน หลายครั้งที่เด็กๆ ทำแบบฝึกหัดแบบซ้ำเดิม จนในที่สุดเด็กจำได้ เมื่อเห็นตัวเลขก็สามารถตอบได้ทันที การเรียนในแบบดังกล่าวให้ผลทั้งสองด้านกับเด็ก คือเด็กจะมีความมั่นใจและชอบคณิตศาสตร์มากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม การเรียนโดยวิธีการใช้ความจำไม่เหมาะกับการเรียนคณิตศาสตร์ เนื่องจากเมื่อเด็กเจอตัวเลขที่พลิกแพลงไม่ตายตัว เขาก็อาจจะติดอยู่ในกรอบของการจำจนทำไม่ได้ เช่น หากมีการให้ใส่ตัวเลข อะไรก็ได้ที่มีผลลัพธ์เป็น 5 หากเด็กรู้จักเพียงแค่ 4 + 1 แล้ว เขาจะได้เพียงคำตอบเดียว ซึ่งหลายๆ ครั้งที่คณิตศาสตร์ไม่ได้ต้องการเพียงคำตอบเดียว การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่วิชาท่องจำเหมือนวิชาประวัติศาสตร์ (เนื่องจากประวัติศาสตร์เป็นบันทึกความจริงที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้) ส่วนการเรียนคณิตศาสตร์ เมื่อเรียนขึ้นไปจนถึงชั้นมัธยม การเรียนคณิตศาสตร์จะเป็นการเรียนในขั้นที่สูงขึ้น ซึ่งต้องใช้จินตนาการและความเข้าใจมากขึ้นในการเรียน เด็กที่ถูกฝึกให้คิดอยู่ในกรอบ จะมีแบบและวิธีคิดแก้ไขปัญหาคณิตศาสตร์ได้ค่อนข้างจำกัดจนในที่สุดความมั่นใจและความชอบคณิตศาสตร์ก็จะลดลง หากเป็นเช่นนี้ มันคงจะดีกว่าหากเราไม่ใส่กรอบในการเรียนคณิตศาสตร์
ครูจา
Oct 31
จากประวัติศาสตร์ที่เราคุ้นเคย เรามักพบว่านักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ประสบความสำเร็จ หรือเป็นผู้ที่คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ นั้นมักได้รับการชื่นชมว่า บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่คิดนอกกรอบ ซึ่งหากเราสืบค้นกันจริงจังแล้ว บุคคลทั้งหลายที่ประสบความสำเร็จโดยการคิดนอกกรอบเหล่านั้น ต้องตรากตรำ ค้นคว้า หาข้อมูล จนกระทั่งทำการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยการเปลี่ยนสมมติฐานจากสิ่งที่คิดเดิมแตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ กว่าจะได้บทสรุป หรือสิ่งประดิษฐ์เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานก็ต้องใช้เวลาในการศึกษา ค้นคว้ากันเป็นเวลานาน
หลาย ๆ คนจึงคิดว่า การเลี้ยงดูเด็ก ไม่ควรจำกัดกรอบ หรือวิธีคิด หรือการคิดที่ตรงกันข้ามกับความคิดในสมัยเก่า ซึ่งหากพ่อแม่ผู้ปกครองมีการศึกษาอย่างจริงจัง ก็น่าจะทำให้เด็กในรุ่นใหม่ ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ หรือมีวิธีคิดที่น่าชื่นชม แต่ในความเป็นจริง หากใครได้สัมผัสกับวิวัฒนาการของเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักเห็นผลในทางตรงกันข้าม นั่นคือ เด็กรุ่นใหม่ไม่มีความกระตือรือร้น ซึ่งนั่นหมายถึงความไม่พยายามที่จะทำอะไรให้สำเร็จด้วยความสามารถของตนเอง ไม่อยากเรียนรู้ ไม่อยากทดลองที่มีความสลับซับซ้อน ต้องการสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ความสามารถ หรือความพยายามใด ๆ ………… น่าคิดว่า ทำไมเด็กส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน
นักวิชาการหลาย ๆ คนกล่าวว่า การคิดนอกกรอบนั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของการอ่านมาก ฟังมาก และรู้มาก ซึ่งกว่าจะรู้มากก็ต้องฝึกให้ทักษะต่าง ๆ ทั้งการอ่านมาก คิดมาก ฟังให้มาก นั้นจะต้องผ่านกรอบของการฝึกฝนก่อน กระบวนการในการคิดนอกกรอบจึงจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคิดที่คิดจากมุมที่ต่างไปจากเดิม (นั่นคือเราต้องมีความคิดเดิมของเราอยู่) , การคิดให้มีความหลายหลาย เหมือนการคิดแบบหมวก 6 ใบ (ซึ่งก็ต้องศึกษาก่อนและฝึกคิดเมื่อใส่หมวกแต่ละใบว่ามีแนวคิดอย่างไร) หรือประเด็นสุดท้ายคือคิดตรงข้ามกับความคิดเดิม (ยังไงก็ยังคงต้องมิความคิดเดิมอยู่ก่อน)
จะเห็นได้ว่า การคิดนอกกรอบนั้น เราสามารถที่จะฝึกให้เด็กคิดได้ ด้วยการที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องมีการศึกษาข้อมูล อย่างถ่องแท้ หากไม่ได้ศึกษาข้อมูลหรือวิธีการอย่างจริงจัง อาจตกหลุมพรางของคำว่า “นอกกรอบ” กลายเป็น “การไร้วินัย” ซึ่งมีหลายครอบครัวไม่สามารถแยกคำทั้งสองออกจากันได้
ครู จา