clip-art-maze-416746หลังจากที่เด็กๆ เปิดภาคเรียนมาได้เดือนกว่าๆมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่เด็กๆ จะต้องมีการสอบกลางภาค เพื่อเป็นการประเมินผลการเรียนรู้ในสิ่งที่ได้เรียนกันมาแล้ว  คะแนนที่ออกมาจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเด็กแต่ละคนเข้าใจบทเรียนมากน้อยเพียงใด

คะแนนที่ได้จากการประเมินจะเป็นตัวชี้วัดได้ว่า เด็กๆ มีความเข้าใจในการเรียนมากน้อยเพียงไร

ในบางครั้งปัญหาในการเรียนของเด็กๆ อาจเกิดจากการที่เด็กไม่สามารถตีความสิ่งที่โจทย์ต้องการได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา คณิตศาสตร์) สาเหตุดังกล่าวมักเกิดจากการขาดการเตรียมความพร้อมในเรื่องภาษา ทั้งภาษาไทย (ในเด็กที่เรียนในแบบบูรณาการไปยังโรงเรียนแบบเร่งเรียน) และภาษาอังกฤษที่ (มักเกิดปัญหาในเด็กที่ย้ายโรงเรียนจากแบบไทย สู่โรงเรียนแบบไบลิงกัว) ซึ่งโรงเรียนสองภาษาในปัจจุบันเน้นให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย เมื่อเด็กๆ ติดปัญหาด้านภาษา ก็เป็นสิ่งที่ดีที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะส่งเสริมให้เด็กเรียนภาษาเพิ่ม สำหรับเด็กที่เรียนในโรงเรียนไทยปกติ เป็นเรื่องทีดี เนื่องจากภาษาไทยเป็นพื้นฐานของการเรียนในทุกๆ วิชา

ในขณะที่เด็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ เปลี่ยนจากโรงเรียนเป็นโรงเรียนสองภาษา เด็กๆ ไม่ได้ถูกเตรียมความพร้อมให้อ่านและแปลความในภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนเสาะหาที่เรียนภาษาอังกฤษให้กับบุตรหลานที่แล้วที่เล่า แต่การเรียนภาษาอังกฤษโดยทั่วไป แยกได้เป็น 3 แบบคือ การเรียนการอ่านออกเสียง ซึ่งต้องเริ่มจากการเรียนเสียงของตัวอักษรทีละตัว ซึ่งในการเรียนในแนวนี้แก้ปัญหาได้ช้ามาก หรืออาจไม่ได้เลย เนื่องจากการเรียนในโรงเรียนจะล้ำหน้าและมีศัพท์เฉพาะมากมาย โดยเฉพาะอ้ย่างยิ่งการเรียน คณิตศาสตร์ กับการเรียนในแนวที่สอง คือการเรียนในแนวของการสนทนา และในแบบสุดท้ายคือการเรียนหลักไวยากรณ์ ซึ่งการเรียนในแนวทั้งสามนั้นไม่ใช่วิธีแก้ที่ถูกทางนัก ซึ่งหลายๆ ครอบครัวก็หว่านการเรียนของบุตรหลานไปทุกๆ แนวทาง ส่งผลให้เด็กเกิดความเหนื่อยล้ากับการเรียน ทำให้หลังจากการเรียนเด็กๆ ก็ไม่ต้องการนำมาทบทวนเพิ่มเติมอีก ทำให้การเรียนไม่ได้พัฒนาได้ ความเหนื่อยล้าส่งผลให้เด็กไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ใดๆ ทั้งสิ้น เปรียบเหมือนกับแก้วที่มีน้ำรินอยู่ปากแก้วแล้ว ไม่ว่าจะเติมไปมากเท่าไร น้ำก็ล้นออกมาเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดความเครียดทั้งตัวเด็กและพ่อแม่ นอกจากนี้แล้วยังส่งผลให้เด็กไม่มีความสุขในการเรียน

สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของใคร พ่อแม่ผู้ปกครองก็มีแต่ความปรารถนาดีให้กับบุตรหลานของตนด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ในยุคปัจจุบันมีแนวการเรียนอยู่มากมาย พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาหรือเตรียมคว

Tags : , , , , , , , , , | add comments

                        สืบเนื่องมาจากในทุก ๆ ช่วงปิดเทอมจะมีเด็ก ๆ ที่ผู้ปกครองต้องการพาบุตรหลานของตนหาคอร์สเรียนเพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จินตคณิตก็เป็นอีกหลักสูตรหนึ่งที่ผู้ปกครองมักเลือกให้ลูกหลานของตนเองเรียน แต่เด็กหลาย ๆ คนไปไม่ถึงฝั่งที่ทั้งผู้ปกครองและครูผู้สอนตั้งใจไว้ สาเหตุอาจเกิดจาก

–          หลักสูตรจินตคณิต เป็นหลักสูตรที่จะต้องฝ่าด่านของการฝึกฝน (การใช้ลูกคิด) โดยการเลือกใช้คู่ (ซี่ใหญ่ กับ ซี้เล็ก) ต้องให้มีความถูกต้อง หากเลือกใช้คู่ผิด นั่นหมายความว่ากระบวนการคิดในข้อดังกล่าวก็ผิดตามไปด้วย ไม่ใช่ว่าในการคิดเลขแต่ละครั้งจะสามารถใช้สูตรจากลูกคิดได้หลายสูตร แต่เด็กหลาย ๆ คนที่ไม่มีความรอบคอบ ใจร้อน หรือไม่มีสมาธิเพียงพอ การเลือกใช้สูตรก็ผิดพลาดได้ การฝึกฝนให้เกิดทักษะที่คล่องแคล่วแม่นยำ ก็ต้องใช้เวลาบ้าง

–          ความคาดหวังของผู้ปกครอง แน่นอนเมื่อส่งให้บุตรหลานเรียนอะไร ย่อมต้องคาดหวังที่จะเห็นผลสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว  ปัจจุบันนี้สินค้าและบริการหลาย ๆ ชิ้น มักเน้นชูการตลาดเรื่องความเร็ว ซึ่ง

เป็นสินค้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาแล้ว แต่การเรียนจินตคณิตเป็นการเรียนที่ผู้เรียนจะต้องพัฒนาตนเอง

–          ผู้รับ (ผู้เรียน) และผู้ส่ง (ครูผู้สอน) เป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุดในการเรียน   นั่นคือหากผู้เรียนมีความเอาใจใส่ก็ทำให้มีความก้าวหน้าในการเรียน หรือในทางกลับกัน หากผู้เรียนไม่เปิดเครื่องรับสัญญาณ การเรียนก็จะไม่ก้าวหน้า หรือถดทอยลง ในแง่ของผู้ส่ง (ครูผู้สอน) ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีผลทางด้านความรู้สึกของผู้เรียนมากกว่าด้านอื่น เนื่องจากครูผู้สอนต้องได้รับการอบรมด้านการสอน มาแล้วทุกคน

สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้หมายความว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนจินตคณิต เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของเด็กแต่ละคน จะต้องประกอบด้วยผ่ายต่าง ๆ 3 ฝ่ายดังกล่าวเสมอ  หากพ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องการเห็นลูกหลานประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ก็ต้องแลกกับความทุ่มเท เอาใจใส่ในตัวเค้าเหล่านั้นตั้งแต่ยังเล็กนั่นเอง

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , | add comments