ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากปริมาณเด็กที่ลดน้อยลงเนื่องจากภาวะของโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนไป ครอบครัวส่วนใหญ่มีลูกคนเดียว ส่งผลให้อัตราการแข่งขันกันของสถาบันการศึกษาดุเดือด ส่งผลให้โรงเรียนหลายๆ โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองจากสถานศึกษา กลายเป็นสถานที่ ที่ให้บริการ โดยมีพ่อแม่ผู้ปกครองกลายเป็นลูกค้า นโยบายเน้นสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ กิจกรรมต่างๆ จะแปรเปลี่ยนไปตามความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยที่ความต้องการของลูกค้าแต่ละคนแตกต่างกัน

โรงเรียนมีหน้าที่ รายงานว่าวันนี้เด็กรับประทานอะไรในเวลากลางวัน มุ่งเน้นเรื่องสุขลักษณะ การเอาใจใส่ของครูในเรื่องของการดูแลมากกว่าพัฒนาการทางด้านต่างๆ เด็กจะต้องได้รับการดูแลทั้งทางด้านร่างกาย และ

ข้าวของเครื่องใช้ที่นำมา ให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปในแต่ละเทอม

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ครูไม่สามารถประเมินผลการเรียนรู้ที่แท้จริงได้ ครูไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือขอความร่วมมือกับทางบ้านเพื่อพัฒนาเด็กให้อยู่ในระดับเดียวกับเพื่อนๆ ได้ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะได้รับใบประเมินผลที่เป็นที่พึงพอใจของตนเอง โดยไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง ว่าบุตรหลานควรได้รับการพัฒนาหรือส่งเสริมด้านใดเพิ่มเติม กลายเป็นการเรียนในโรงเรียน ไม่ได้ต้องการครูอีกต่อไป เพื่อสนองนโยบายของผู้บริหารที่ว่า ลูกค้าถูกเสมอ ครูจะมีหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับพี่เลี้ยง สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อ

ว่าจะเกิดขึ้นจริงในระบบการศึกษาของประเทศไทย ถ้าครอบครัวไหนที่ต้องการครูเพื่อสอนบุตรหลาน ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงนโยบายของโรงเรียนก่อน เพื่อให้ร่วมมือกับทางโรงเรียน และครูผู้สอนเพื่อร่วมกันประเมินและพัฒนาศักยภาพในทุกๆ ด้านของบุตรหลานได้อย่างแท้จริง

Tags : , , , , , , , , , , , , , | add comments

ปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าไปมากมาย ทำให้เกิดเครื่องมือที่ทันสมัยมากมาย ยิ่งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองในยุคใหม่ยิ่งได้รับความสนใจกันอย่างมาก

คงมีหลายๆ ครอบครัวที่รู้จักเครื่องที่ใช้สแกนลายนิ้วมือของเด็ก เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ได้รู้ว่าบุตรหลานมีความถนัด หรือต้องส่งเสริมด้านใด สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงสถิติที่เก็บข้อมูลเพื่ออ้างอิงให้พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นแนวทาง  หลายๆ ครอบครัวใช้ผลของการสแกนลายนิ้วมือนี้ เป็นตัวชี้นำว่าจะต้องส่งเสริมบุตรหลานด้านใด ในความเป็นจริงแล้ว หากพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลเอาใจใส่ ให้เวลากับบุตรหลานมากพอ ก็ไม่ยากเลยที่จะรู้ว่าบุตรหลานของตน มีความถนัดด้านใดเพื่อให้ความสามารถด้านนั้นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ในการดำเนินชีวิตของคนแต่ละคน ไม่สามารถที่จะใช้ทักษะเพียงด้านเดียวได้ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรเพิ่มทักษะให้กับบุตรหลานในทุกๆ ด้าน  โดยไม่มุ่งเน้นไปด้านใดเพียงด้านเดียว วัยเด็กนั้นสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ทุกๆ ด้าน ขึ้นอยู่กับการส่งเสริมให้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องโดยการจัดกิจกรรมในวันหยุดภายในครอบครัว เพื่อให้เขาได้พัฒนาศํกยภาพของตนเองในแต่ละด้านได้อย่างสมดุล

Tags : , , , , , , , , , , , | add comments

ช่วงเวลาของการสอบคัดเลือกเข้าเรียนในระดับชั้นต่างๆ มีหลายๆ ครอบครัวที่ดีใจ และอีกหลายๆ ครอบครัวที่มีน้ำตาเปื้อนใบหน้า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่พ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องมีหน้าที่คอยประคองความรู้สึกและให้กำลังใจบุตรหลาน ให้เขาได้เรียนรู้ถึงความผิดหวังบ้าง เพราะในชีวิตคนเราไม่มีใครที่จะสมหวังในทุกๆ เรื่อง เพื่อเป็นบทเรียนให้เค้าได้ตั้งความหวังให้สูง และไปถึงจุดนั้นให้ได้ด้วยความเพียรพยายาม

แต่หลายๆ ครอบครัวจะหลีกเลี่ยงไม่ให้บุตรหลานของตนเองในการสอบคัดเลือก โดยการให้เข้าโรงเรียนที่มีการเรียนยาว โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนโรงเรียน ทุกอย่าง พ่อแม่ ผู้ปกครองจะเป็นผูวางแผน หรือดำเนินการ คิดแทน ทำทุกอย่างแทนให้จนกลายเป็นการบ่มเพาะนิสัยของความเฉื่อย ไม่มีความคิดที่จะริเริ่มหรือทำอะไรด้วยตัวเอง เมื่อโตขึ้นจะไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะไม่เคยถูกฝึกทักษะด้านใดเลย ไม่เคยวางแผนการทำงาน หรือ อนาคตตนเอง เค้าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ถ้าชีวิตเค้าขาดผู้อุปถัมภ์ ดูแล

มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครอง อบรมเลี้ยงดูเค้าเหล่านั้นให้ได้รู้จักหน้าที่ของตนเองตั้งแต่วัยเด็ก แล้วเพิ่มหน้าที่ให้มากขึ้น ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองต้องลดการดูแลในส่วนของตนเองลง ให้เค้าได้เรียนรู้ที่จะคิดวางแผนเป็นระยะๆ เช่น การทำการบ้าน ให้เค้าได้ทำด้วยตนเอง ไม่ใช่ช่วยจนเค้าไม่สามารถทำการบ้านได้ด้วยตนเอง อ่านหนังสือสอบ ต้องให้เค้าค่อยๆ เรียนรู้ที่จะสะกดคำ จนคล่อง ไม่ใช่อ่านให้เค้าฟังทุกครั้ง ทักษะที่ต้องใช้เวลา และที่ควรจะได้รับการฝึกฝน  ก็จะไม่เกิดขึ้น ให้เค้าได้ดูแลตัวเอง มีความภูมิใจในตัวเอง มีความมั่นใจในตัวเอง เรียนรู้ที่จะผิดหวัง เรียนรู้ที่จะมุ่งมั่นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จลุล่วง หากพ่อแม่ผู้ปกครอง เลี้ยงดูบุตรหลานแบบที่คิดแทนเค้าในทุกๆ อย่าง สักวันที่เค้าไม่มีเรา ชีวิตเค้าจะเดินต่อไปอย่างไร ในเมื่อเค้าไม่เคยได้รับการฝึกฝนใดๆ เลย อย่าทำร้ายเค้าด้วยการดูแลที่เกินความจำเป็นกันอีกเลย ขนาดดักแด้ที่อยู่ในไหม สักวันนึงมันก็ต้องกลายเป็นผีเสื้อที่ต้องกางปีกของตนเองออกมาสู่โลกกว้างในที่สุด

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

มันน่าจะดีนะ

Posted by malinee on Sunday Mar 4, 2018 Under เกร็ดความรู้

ในอาทิตย์หน้าจะมีการสอบ  NT  ของเด็กชั้น ป.3 เรามาดูกันว่าตารางประจำปีของการวัดผลในแต่ละระดับมีอะไรบ้าง เริ่มจาก NT  ซึ่งจะสอบกันในชั้น ป.3 ต่อมาชั้น ป.6 ,ม.3 และ ม.6 สอบโอเน็ต นอกจากนี้ยังมีการสอบกลางของกระทรวงในทุกช่วงชั้นจนสิ้นสุดที่ ม.2  จากการประเมินวัดผลที่จัดขึ้นเกือบทุกปีในเด็กแต่ละคน ทำให้เราคาดหวังว่าการเรียนการสอน ในบ้านเราน่าจะมีประสิทธิภาพ

แต่จากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ พบว่าผลการทดสอบคณิตศาสตร์ผลประเมินออกมาว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับท้ายของประเทศในเอเชีย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อมีการทุ่มเงินไปในอัตราส่วนที่เยอะมากเมื่อเทียบกับงบประมาณในกระทรวงอื่นๆ

สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการทุ่มงบประมาณจำนวนมากไม่ได้ช่วยให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้นแต่อย่างใด แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องมาหาต้นเหตุ เราจะเห็นว่าปัจจุบันนี้สถาบันครอบครัวไม่มีความแข็งแรงอย่างอดีต การดำเนินชีวิตต่างคนต่างมีเวลาจำกัด ไม่มีเวลาที่จะใส่พูดคุยถึงปัญหาของแต่ละคน พ่อแม่ไม่มีเวลาที่จะดูแลเอาใจใส่บุตรหลาน จนเขาถูกเลี้ยงมาให้อยู่กับเทคโนโลยี ไม่ได้ถูกอบรมให้รู้จักอดทน การรอคอย และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำให้ไม่รู้ว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไร ส่วนอีกหลายๆ ครอบครัวก็มีความพร้อมจนส่งเสริมด้านทักษะและวิชาการอย่างหนัก สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเหลื่อมล้ำ ถึงแม้ว่ารัฐบาลมีการส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐานจนเด็กได้เรียนจนถึงชั้นมัธยมปีที่ 3 ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผลการประเมินของประเทศไทยสูงขึ้นแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อาจต้องให้ผู้ที่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบหันมาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังกันต่อไป

Tags : , , , , , , , , , , , | add comments

ในช่วงปลายภาคเรียนภาคแรก โรงเรียนหลายๆ โรงเรียนจะมีการสอบคัดเลือกนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายๆ คนก็มีการวางแผนการเรียนของบุตรหลานไว้แล้ว

พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายๆ คน จะถือว่าการเลือกโรงเรียนให้กับบุตรหลานนั้น ต้องเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ทั้งระยะทาง สิ่งแวดล้อม และชื่อเสียงของโรงเรียนนั้นๆ แต่สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเกือบทุกคนลืมไปก็คือ ธรรมชาติของลูกหลาน ว่าเหมาะสมกับโรงเรียนดังกล่าวหรือไม่ เพราะเด็กแต่ละคนมีธรรมชาติของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และแนวการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียนก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน

การส่งบุตรหลานไปโรงเรียน ซึ่งต้องใช้เวลาเกิน 80% ในโรงเรียน เราถือได้ว่าโรงเรียนเป็นบ้านหลังที่สองของเด็กๆ จะดีกว่าหรือไมที่จะเลือกโรงเรียนที่เหมาะกับการเรียนรู้ของเขา เช่น เด็กที่ไม่ชอบการแข่งขัน ควรส่งเสริมโดยการส่งเข้าโรงเรียนในแนวของการเร่งเรียน เพื่อเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ของเขา ในทางกลับกัน หากเด็กที่ไม่ชอบการแข่งขัน ไม่ควรจัดให้เขาไปอยู่ในโรงเรียนที่มีการแข่งขัน นอกจากจะไม่เป็นการกระตุ้นการเรียนรู้แล้ว ยังทำให้เขาไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ใดๆ เลย ผู้ปกครองหลายๆ คนมักคิดว่าสิ่งแวดล้อมสามารถช่วยกระตุ้นให้บุตรหลานเรียนรู้ได้ เด็กบางคนสามารถใช้สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกระตุ้นได้ แต่เด็กหลายๆ คนไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงสังคมการเรียนให้กับบุตรหลาน ควรพิจารณาลักษณะนิสัยพื้นฐานของบุตรหลานว่าสามารถปรับตัวให้เข้ากับบ้านหลังใหม่ได้หรือไม่เพื่อความสุขของพวกเขาในช่วงวัยเรียนตลอดไป

Tags : , , , , , , , , , , , , , | add comments

 เรียนอะไรดี

Posted by malinee on Monday Aug 28, 2017 Under เกร็ดความรู้

เนื่องจากในปีการศึกษา 2561 จะเป็นปีแรกที่มีการรับนักเรียนเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาแบบใหม่ ที่เรียกว่า ระบบ TCAS (Thai University Central Admission System)  ซึ่งเป็นระบบการคัดเลือกนักเรียนเป็นรอบๆ โดยมีทั้งสิ้น  5 รอบและในแต่ละรอบจะมีการกำหนดวัน Clearing house ซึ่งเป็นการตัดสิทธิ์สำหรับเด็กที่ได้เลือกคณะที่ตนเองได้เลือกแล้ว เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับผู้อื่น และในปัจจุบันก็มีสาขาวิชาที่ให้เลือกเรียนมากมาย

การเลือกสาขาวิชาที่จะเรียนนั้น หลายๆ กระแสก็ให้เลือกตามแนวโน้มของโลกในอนาคต เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายๆ สังกัดก็มีการบ่งชี้ว่ามีหลายๆ อาชีพที่จะไม่เป็นที่ต้องการ หรือหายไปในที่สุด ด้านนักเศรษฐศาสตร์ก็วิเคราะห์ว่า แนวโน้มในอนาคตคนทำงานควรมีอาชีพมากกว่า 1 อย่าง การวิเคราะห์ดังกล่าว ทำเอาทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง และตัวเด็กเองเกิดความสับสน และลังเลใจ ไม่แน่ใจว่าจะเลือกเรียนอะไรดี หรือหาอาชีพที่สองได้อย่างไร

การเลี้ยงดูของพอแม่ผู้ปกครองในปัจจุบันมีอยู่หลายแบบ นั่นคือ แบบที่ปล่อยให้เด็กเรียนรู้ไปตามวัย โดยปล่อยหน้าที่เรื่องของการเรียนให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเพียงอย่างเดียว กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่พาบุตรหลานเรียนเสริมในด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เด็กมีความโดดเด่นทางด้านวิชาการ สามารถสอบแข่งขันในสนามต่างๆ ได้ทุกสนาม กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่มีการพาบุตรหลานส่งเสริมในกิจกรรมที่นอกเหนือจากการเรียน เช่นด้านกีฬา ดนตรี ต่อเนื่องจนเด็กมีทักษะในการเรียนเสริมที่ดี

ลักษณะการเสริมความรู้ และทักษะของครอบครัวในแต่ละกลุ่มจะทำให้เด็กมีทักษะที่แตกต่างกัน เด็กในกลุ่มแรก เด็กจะเรียนรู้ได้จากโรงเรียนเพียงอย่างเดียว เด็กในกลุ่มที่ 2 จะเป็นเด็กที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ และเขาเหล่านั้นก็จะสามารถเลือกเรียนในสาขาที่เขาต้องการได้ ส่วนเด็กในกลุ่มที่ 3 อาจเป็นเด็กที่มีผลกาเรียนในระดับกลางๆ แต่มีทักษะด้านอื่นที่เรียนมาเพิ่ม จะสามารถนำทักษะที่ได้เรียนมาเป็นอาชีพรองต่อไป

พ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆ คนอาจกังวลว่าแล้วในอนาคตเค้าจะสามารถดูแลตนเอง ได้หรือไม่ หากวันนี้เราทำหน้าที่ในการดูแล อบรม เลี้ยงดูเขาเหล่านั้นให้เป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตนเอง ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลแทนเขาเลย

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

…ในสังคมปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่ามีแต่การแข่งขัน การรีบเร่ง เพื่อให้ได้ชัยชนะหรือให้ได้ถึงจุดหมายเร็วที่สุด หรือเพื่อให้เป็นที่หนึ่งไม่ใช่เฉพาะธุรกิจ การทำงานเท่านั้น ปัจจุบันนี้ เราก็จะเห็นภาพของเด็กๆที่ถูกพ่อแม่ ผู้ปกครองพาไปเรียนพิเศษกันเยอะมาก เมื่อก่อนเราจะเห็นภาพเด็กโตเสียเป็นส่วนหรือเด็กที่เรียนในระดับมหาลัย แต่ปัจจุบันนี้การแข่งขันสูงขึ้น เด็กที่พ่อแม่พาไปเรียนอายุน้อยลงเรื่อยๆบางคนอยู่ในระดับอนุบาล..หลายคนจำเป็นต้องเรียนเพิ่มเติมเพราะทักษะยังไม่ดีพอเรียนในห้องกับเพื่อนๆไม่เข้าใจ หลายคนเรียนเพื่อเสริมทักษะให้แกร่งขึ้น เด็กในกลุ่มนี้จะเป็นเด็กที่พร้อมและชอบในการเรียนทีโหนระดับ เช่น อยู่ป3 เรียนเนื้อหาของป4 หรือบางคนอยุ่ป4 เรียนเนื้อหาของป5 ป6 เด็กในกลุ่มจะสามารถเข้าใจและมีทักษะที่แข็งแกร่งขึ้น..แต่..ไม่ใช่กับทุกคน..พ่อแม่บางคนเห็นลูกคนอื่นเรียนได้ ลูกชั้นก็ต้องเรียนได้ พยายามบีบและพยายามเร่ง พยายามทำทุกทางเพื่อให้ลูกได้คะแนนดีเหมือนคนอื่น บางคนยังเล็กมากระดับอุนบาลก็โดนเร่งเรียน..เข้าใจค่ะว่าพ่อแม่หวังดีกับลูกทุกคน.แล้วเคยลองมองย้อนกลับมาที่ลูกเราบ้างหรือเปล่า เคยถามเค้าบ้างมั้ยว่าเค้าไหวหรือเปล่า โดยเฉพาะในระดับอนุบาลด้วยวัยเค้ายังเล็กมาก เค้ารับการบีบอัดและเร่งเรียนไม่ไหว หลายคนไม่ได้เรียนแย่แต่พ่อแม่ต้องการให้ลูกเป็นที่หนึ่ง พยายามหาที่เร่งเรียน เอาการบ้านที่รร.ให้มาสอนเอง ทำการบ้านเกินที่ครูให้เพื่อให้ลูกจบเล่มและขึ้นเล่มใหม่เร็วๆ เพื่อให้แซงคนอื่นๆบางครั้งบางวิชาเป็นเทคนิคเฉพาะตัวที่ต้องปล่อยให้ครูผุ้สอนเป็นสอนและเป็นคนกำหนดทิศทางในการเรียนพ่อแม่ไม่สามารถสอนได้ หลายคนเห็นว่าช้าเกินไป กำหนดวิธีการสอนเองเร่งเนื้อหาเอง สั่งการบ้านเพิ่มเองจากที่ครูสั่งไว้ให้ลูกทำเยอะๆ ทำเนื้อหาทั้งๆที่ยังเรียนไม่ถึง ครูยังไม่ได้สอน พ่อแม่สอนเทคนิคเอง เร่ง เร่ง เพื่อให้จบเล่มเร็วขึ้น..สุดท้ายลุกจำเทคนิคไม่ได้ จำเนื้อหาไม่ได้ กลายเป็นต้องเรียนซ้ำเพราะไปต่อไม่ได้ และสุดท้ายทัศนคิตกับวิชานั้นจะแย่ลง หนักเข้าอาจพาลไม่อยากเรียนอะไรอีกเลย..แต่ มันคงจะดีกว่ามั้ยถ้าปล่อยให้ลุกเรียนไปตามสเต๊ปในวิชานั้นและปล่อยให้ครูผู้สอนเป็นคนนำพาลูกเราให้เก่งในวิชานั้นต่อไป..ลองถามตัวเองสักครั้งว่าการเร่งลูกมันดีจริงๆหรอ การที่ลูกแซงคนอื่นได้มันทำให้ลูกมีความสุขจริงมั้ย มันเป็นความสุขของใคร?..การเร่ง เร่ง เร่งเรียน….เพื่อใคร?..ขอบคุณและสวัสดีค่ะ

Tags : , , , , , , , | add comments

ใกล้ปิดเทอมแล้ว มาเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ด้้วยกัน กับสถาบันคิดสแควร์กันดีกว่า肃穆么日

Tags : , , , , , | add comments

crying-boy-8672512      แนวโน้มเด็กไทยในยุคสังคมก้มหน้า เนื่องจากหลายๆ ครอบครัวที่เป็นครอบครัวขยาย เด็กกลายเป็นศูนย์กลางของครอบครัว อยู่กับลุง ป้า น้า อา ทุกคนจะแห่แหนกันดูแล เอาใจเด็กอยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ได้ในบ้าน ซึ่งเกินความพอดี จนบ่มเพาะนิสัยที่เฉื่อย เหม่อลอย เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีความพยายามหรือกระตือรือร้นในการทำอะไรให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง เขาจะไม่มีการลองผิดลองถูก ไม่มีประสบการณ์ของความล้มเหลว รวมไปถึงไม่มีประสบการณ์ของความสำเร็จด้วยเช่นกัน เนื่องจากการทำอะไรก็ต้องมีผู้ใหญ่คอยให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา

สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นไม่ใช่ดาบสองคม แต่เป็นดาบเพียงด้านเดียวที่ทำร้ายเด็กโดยตรง เนื่องจากเด็กๆ จะไม่มีการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทุกอย่างที่รู้เกิดจากการป้อนข้อมูลที่สำเร็จแล้วทั้งสิ้น ไม่มีการคิดวิเคราะห์เหตุผล ไม่มีการฝึกทักษะทางด้านการควบคุมอารมณ์ เนื่องจากทุกอย่างที่ได้มา ได้มาอย่างง่ายดาย ไม่ต้องเสียเวลาในการรอคอย ขาดการฝึกทักษะด้านการเข้าสังคม เด็กกลุ่มนี้จะมีเพื่อนช้า หรืออาจไม่มีเลย ไม่ถูกฝึกให้รู้จักความผิดหวัง และสุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเอง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ข้างต้นจะส่งผลแย่ลงอย่างรวดเร็วถ้ามีตัวกระตุ้นจากการส่งเทคโนโลยีให้กับเขาเหล่านั้น หากไม่ต้องการทำร้ายบุตรหลานที่เรารัก เราจำเป็นต้องปรับวิธีการเลี้ยงดูบุตรหลาน โดยให้เค้ามีความทักษะรอบด้าน ทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยให้เค้าได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ให้รู้จักการรอคอย รู้จักความผิดหวัง รู้จักใช้เหตุและผล ไม่ใช่การเรียนรู้ผ่านจออย่างแท๊ปเล็ค มือถือ หรือทีวี ที่ได้แต่ความพึงพอใจของเด็กเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

may_3            ในช่วงนี้เรามีข่าวดีของชาวไทยนั่นคือ น้อยเมย์ รัชนก อินทนนท์ ครองตำแหน่งนักแบตมินตันหญิงเดี่ยวอันดับ 1 ของโลกไปแล้ว ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวไทยกันทั่วหน้า

นอกจากความภาคภูมิใจในตัวสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้แล้ว ยังมีข้อคิดดีๆ หรือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราควรนำมาปรับใช้นั่นคือข้อมูลจาก โค้ชเซี๊ยะ จือหัว ซึ่งเป็นชาวจีน และฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านทองหยอดมากว่า 20 ปี เผยว่า กว่าน้องเมย์ จะมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่แค่เรื่องพรสวรรค์ แต่เป็นพรแสวง ด้วยการฝึกฝนอย่างหนัก โดยเธอต้องใช้ชีวิตฝึกซ้อมแบดอยู่ที่โรงยิมตลอด 365 วัน ไม่มีวันหยุด!โดยซ้อมหนักสุดวันละ 7 ชั่วโมงและน้อยสุดวันละ 3 ชั่วโมง ควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือ เธอทำเช่นนี้ทุกวันๆ นับตั้งแต่อายุ 6 ปี

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่า ความสำเร็จของใครก็ตาม มักมีเบื้องหลังที่แลกมาด้วยความเพียรพยายาม การฝึกฝน อย่างจริงจัง เมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในวิชาใดๆ ในช่วงแรกของการเรียนรู้ ไม่มีใครรู้ว่าตนเองมีพรสวรรค์ด้านไหน แต่คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านไหน มักชอบทำในสิ่งนั้นเป็นประจำ เช่นเด็กที่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์มักชอบแก้ไขปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งถือเป็นการฝึกฝนที่มากกว่าทำให้เกิดทักษะและความชำนาญที่มากกว่า การฝึกทักษะในโจทย์ที่หลากหลายจะทำให้เกิดวิธีคิด วิเคราะห์ที่หลากหลายมากขึ้นตามประสบการณ์ที่ได้จากการแก้ไขปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่ไม่มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์จะต้องเรียนคณิตศาสตร์แย่ทุกคน แต่เด็กจะต้องใช้พรแสวง ที่ต้องเก็บเกี่ยวทีละเล็กทีละน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ได้เช่นกัน

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , | add comments