ครอบครัวในยุคปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยวมีลูกเพียงคนเดียว หรือไม่เกินสองคน ทำให้คนที่เป็นพ่อแม่คาดหวังกับตัวเด็กว่าจะต้องเรียนเก่ง ฉลาด เคยสังเกตกันหรือไม่ว่าคำว่า อัจฉริยะ หรือ อัจฉริยภาพ เป็นคำที่มักถูกขายออกมาเป็นสินค้าต่าง ๆ มากมาย ทั้งหลักสูตร หรืออุปกรณ์ ของเล่นชนิดต่าง ๆ นับไม่ถ้วน สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมก็คือ ความต้องการความสะดวกสบาย ใช้เวลาน้อย หรือสิ่งที่ง่ายต่อวิถีการดำเนินชีวิตของตนเอง โดยไม่เคยมองย้อนกลับว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ดำเนินไปโดยผิดธรรมชาตินั้นมันไม่ยั่งยืน เช่นเดียวกับการดูแลเด็ก เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ด้วยว่าในเด็กแต่ละคนมีธรรมชาติความสนใจ ที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือ พัฒนาการเป็นขั้น ๆ ที่ไม่แตกต่างกันมากนัก หากแต่ทุกวันนี้ เด็กส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงมาให้อยู่ในกรอบหรือในธรรมชาติที่พ่อแม่คอยจัดสรรขึ้น เพื่อกระตุ้น(หรือบางครอบครัวอยู่ในขึ้นบีบบังคับ) ให้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าดี หากเราลองมองย้อนกลับไป เราจะพบว่าเด็กทุกคนนั้นจะมีการเรียนรู้ที่ดีผ่านการเล่น (ซึ่งไม่ใช่เกมส์คอมพิวเตอร์ หรือการดูทีวี) โดยเด็ก ๆ จะได้ทักษะหลาย ๆ ด้านขึ้นอยู่กับกฎ กติกาของการเล่นในแต่ละครั้ง การเล่นเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก เพื่อให้เกิดภาวะของการสังเกต จดจำ การเข้าร่วมกลุ่ม การรักษากฏ ระเบียบ นอกจากเด็ก ๆ จะได้ฝึกทักษะแล้ว เรายังได้โบนัสชิ้นพิเศษ นั่นคือความสุขของเขา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ความเป็นเด็ก นั่นหมายรวมถึงจินตนาการ ที่ไม่มีใครสามารเรียกมันกลับคืนมาได้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกให้เป็นอะไรดี ก็ยึดแนวที่ว่าเราจะเลี้ยงลูกให้เขามีความสุข ซึ่งไม่ได้หมายความว่าตามใจในทุก ๆ เรื่อง หากแต่คิดพิจารณาว่าความรัก (ที่ไม่ใช่วัตถุ) และเวลา เรามีให้ลูกเพียงพอแล้วหรือยัง ถ้าทั้งสองอย่างมีแล้ว มันควรจะมีสิ่งที่สามตามมานั่นคือ รอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะที่มีความสุข เมื่อเด็กมีความสุข ได้รับความรักที่สมบูรณ์มาจากครอบครัว เขาก็จะมีความกระตือรือร้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ (ธรรมชาติของเด็ก) เมื่อโตขึ้น เขาก็จะมีทักษะในการเรียนรู้ที่ดี หรือมีวิธีการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองต่อไป หากในทางกลับกัน เมื่อเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เสียงหัวเราะ หรือรอยยิ้มไม่เกิดขึ้น นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง นั่นอาจเป็นเพราะตัวเราหรือลูกเรามีกำแพงบางอย่างกั้นไว้ไม่ให้สื่อถึงกันได้ สัญญาณนี้เป็นเหตุเตือนภัยว่าพ่อแม่ต้องหยุดพฤติกรรมบางอย่าง แล้วปรับตัวเองเพื่อให้ความสุขนั้นกลับมา หากมิฉะนั้น ภาษิตที่ว่า เลี้ยงลูกได้แต่ตัวก็จะเกิดขึ้นจริง เพราะใจเขาพยายามที่จะหาคนที่รักเขาตลอดเวลา นั่นก็สรุปได้ว่า การจะเลี้ยงลูกให้ได้ดี นั้น ต้องทำให้เขามีความรัก ความอบอุ่น ที่เต็มที่ ซึ่งควรคู่มากับความสุข เมื่อเขารู้สึกเต็มทางจิตใจ อารมณ์ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็จะเป็นอารมณ์เชิงบวก นั่นเอง
ครูจา
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555