imagesDP07LTB2     หลายๆ คนคงสงสัยว่าจินตคณิตมีความเกี่ยวข้องอะไรกับการลดความอ้วน หลายๆ ครั้งมีการเปรียบเทียบการเรียนจินตคณิตให้สัมฤทธิ์ผล เพื่อให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ครั้งนี้จึงนำมาเปรียบเทียบกับการลดความอ้วนของสาวๆ

การเรียนจินตคณิตเหมือนกับการลดความอ้วนอย่างไร การลดความอ้วนหลายๆ คนใช้วิธีการอดอาหาร วิธีนี้อาจได้ผลกับคนที่มีความมุ่งมั่นอดทน แต่หลายๆ คนมักถอดใจก่อนที่จะไปได้ถึงจุดหมาย ในช่วงแรกของการลดความอ้วน จะไม่ค่อยเห็นผลชัดเจน พอไม่มีคนทักหรือไม่เห็นผลชัดเจนก็มักถอดใจก่อน เช่นเดียวกับการเรียนจินตคณิต เนื่องจากการเรียนจินตคณิตจำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่การบวกลบแบบง่าย ซึ่งต้องใช้เวลา หากผู้ปกครองใจร้อนก็จะมีความรู้สึกว่าการเรียนไม่มีประโยชน์อะไร ก็เลิกเรียนก่อนที่จะเห็นผล

การลดความอ้วนอีกแบบหนึ่ง คือการออกกำลังกาย การลดความอ้วนประเภทนี้ ก็จำเป็นต้องมีตารางกำหนดอย่างมีระเบียบ และความสม่ำเสมอ เช่นกันหากการออกกำลังกายไม่มีระเบียบวินัย ผลของการลดความอ้วนก็อาจช้าลง หรือไม่เห็นผลเลย การออกกำลังกายของสาวๆ บางคน ยังจำเป็นต้องมีนักโภชนากรให้คำแนะนำในเรื่องของโภชนาการ เพื่อให้การลดความอ้วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบได้กับ การพาบุตรหลานเรียนจินตคณิตต้องให้ความสม่ำเสมอ มีระเบียบวินัยในการให้บุตรหลานฝึกทักษะอยู่ที่บ้าน ครูก็เหมือนเทรนเนอร์ในโรงยิม คอยให้คำปรึกษา ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองก็เปรียบได้กับนักโภชนากรที่คอยให้กำลังใจ และดูแลเอาใจใส่ให้การเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีความร่วมมือกันทั้งสามฝ่ายข้างต้น การเรียนจินตคณิตก็จะสัมฤทธิ์ผลได้อย่างแน่นอน

ครูจา

Tags : , , , , , | add comments

Summer Camp

Posted by malinee on Monday Sep 28, 2015 Under กิจกรรม

เปิดแล้ว ซัมเมอร์คอร์สกับสถาบันคิดสแควร์ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ครุจิ๋ม 084-5273651 คะuntitled

Tags : , , , , , , | add comments

35-Abacus_example          มีคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการเรียนจินตคณิตหลายๆ คำถาม แต่ครั้งนี้ขอมาที่ประเด็นที่ว่า หลังจากเด็กโตขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้ใช้แล้ว ดังนั้นจึงมักมีคำถามว่า การเรียนจินตคณิต จะเป็นการเรียนที่เปล่าประโยชน์หรือไม่ จากที่ได้กล่าวมาในบทความก่อนๆ ว่าการเรียนจินตคณิตนั้นจะสอดคล้องกับวัยที่เริ่มเรียนด้วยเช่นกัน เช่น หากเรียนในวัยอนุบาล จินตคณิตจะเป็นการเรียนที่นำการเรียนคณิตศาสตร์ในโรงเรียน ซึ่งเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะมีวิธีคิดคณิตศาสตร์ผ่านการใช้ลูกคิด แต่หากเริ่มเรียนในชั้นประถมต้น การเรียนจินตคณิตจะเป็นการเรียนคู่กับคณิตศาสตร์ในโรงเรียน ซึ่งเด็กๆ จะต้องเลือกการคิดคำนวณที่เขาถนัดกว่ามาใช้ (หากเขาถนัดการใช้จินตนาการ เขาก็จะใช้วิธีคิดแบบลูกคิด) และยิ่งเขาเรียนในวัยที่จินตคณิตตามหลังการเรียน คณิตศาสตร์ในโรงเรียน น้อยคนนักที่จะนำวิธีการจินตนาการไปใช้ (เนื่องจากการจินตนาการนั้น เด็กจะต้องใช้สมาธิมากการคิดเลขแบบปกติ เนื่องจากต้องจินตนาการเป็นภาพ แต่เขาอาจคิดในใจโดยใช้สูตรลูกคิดเข้ามาช่วย) แต่ไม่ใช่ว่าการเรียนในระดับที่โตขึ้นจะไม่ได้ผลเสมอไป เนื่องจากการเรียนจินตคณิตในหลายๆ ประเทศเป็นที่นิยมมาก และนอกจากนี้แล้ว หากการเรียนจินตคณิตไม่ให้ผลสัมฤทธิ์กับเด็กจริงๆ มันน่าจะหายไปตามกาลเวลา แต่ยังมีการเรียนการสอนมาจนถึงปัจจุบันในหลากหลายประเทศ

นอกจากวัยที่เริ่มเรียนจะมีผลต่อความถนัดแล้ว การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องก็เป็นอีกปัจจัยหลักที่ทำให้ความคุ้นเคย หรือความถนัดเกิดขึ้นเช่นกัน เปรียบเหมือนกับการเรียนภาษาที่สอง หรือที่สาม หากเด็กเรียนภาษาแล้ว ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านการฟัง พูด อ่าน หรือเขียน หากเรียนเพียงอย่างเดียว แล้วขาดการฝึกฝน หรือการใช้งาน เด็กก็จะลืมในที่สุด แต่หากได้ใช้งานทุกวัน ทักษะนั้นก็จะติดตัวเขาไป จะนำมาใช้เมื่อใดก็ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเรียนอะไร ควรได้รับการฝึกฝนจนติดตัว เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั่นเอง

ครูจา

Tags : , , , , , , , | add comments

images            เปิดเทอมใหม่แล้ว นอกจากเด็กๆ จะเลื่อนชั้นขึ้น และโตขึ้นอีกหนึ่งปีแล้ว ยังต้องมีการเรียนในโรงเรียนที่มีเนื้อหาเดิมที่ยากและมีความซับซ้อนมากขึ้น หรืออาจเจอเนื้อหาการเรียนใหม่ๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ดังนั้นในช่วงของการเปิดเทอม คุณพ่อคุณแม่ อาจจะต้องดูแลเอาใจใส่ หรือช่วยในเรื่องการกระตุ้นให้เด็กมีกำลังใจในการเรียนสิ่งใหม่ๆ ที่ยากขึ้น

การดูแลเอาใจใส่ของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่พอเหมาะพอดีนั้น จะมีส่วนช่วยเหลือ หรือกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งในด้านความรับผิดชอบ ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ยากขึ้น

การดูแลเอาใจใส่ที่น้อยเกินไป อาจส่งผลให้เด็กมีการเรียนที่ตกต่ำลง ซึ่งอาจเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในบทเรียน ไม่ทำการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมาย หรือเด็กยังไม่มีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบมากพอ ต้องได้รับการกระตุ้นเตือนจากผู้ปกครอง

ในทางตรงกันข้ามครอบครัวที่มี พ่อแม่ผู้ปกครองที่ดูแลเอาใจใส่เกินพอดี กลับเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กมีการเรียนที่แย่ลงได้เช่นกัน เนื่องจากการดูแลเอาใจใส่ที่ทำ (งาน) แทนไปทุกอย่าง หรือการชี้นำในทุกๆ เรื่องนั้น ทำให้เด็กกลัวการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพราะถือว่าเป็นเรื่องยาก

เด็กจะไม่มีความพยายามในการฝึกฝนให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยตัวเอง รอคอยแต่ความช่วยเหลือตลอดเวลา กลัวความผิดพลาด เพราะไม่อยากกลับมาแก้ไขอีกครั้ง เปรียบเหมือนกับหนอนผีเสื้อที่มีคนช่วยมันออกจากรังดักแด้ อยู่ได้เพียง 1 – 2 ชั่วโมงก็ต้องตาย เนื่องจากปีกที่ไม่แข็งแรง เช่นเดียวกับธรรมชาติสร้างรังดักแก้ที่มีเอนไซม์ที่ทำให้ปีกของมันแข็งแรงตอนที่มันพยายามจะขยับออกจากรังของมัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรอดทนรอคอยให้เด็กๆ ได้มีประสบการณ์ทั้งทางบวก และทางลบในทุกๆ เรื่อง เพื่อให้ปีกของเขาได้แข็งแรงเหมือนผีเสื้อที่จะโบยบินไป

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , | add comments

imagesVWYOS1TR            จิตวิทยาในการเลี้ยงดูเด็กเล็กโดยทั่วไป มักแนะนำการเลี้ยงดูพ่อแม่ ผู้ปกครองมือใหม่ว่า ในการเลี้ยงดูบุตรหลานนั้น จะต้องมีการแยกแยะให้ชัดเจน ถึงการทำผิดของเด็ก ควรจะได้รับการลงโทษ (อาจเป็นการแยกตัวเด็กออกจากมุมของเล่นมุมโปรด หรือการงดเวลาสนุกของเด็ก ๆ เช่นการดูการ์ตูน เป็นต้น) กับการให้รางวัลกับเด็กเมื่อเขาทำดี

หลาย ๆ ครอบครัว อาจคิดว่าการให้รางวัลเด็ก เป็นการให้ของขวัญหรือของรางวัลทุกครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การให้รางวัลเช่นการให้คำชม ให้สติ๊กเกอร์ หรือการติดดาวในสมุดสะสมดาวที่ตั้งเป็นกติกาไว้ว่าถ้าสะสมครบแล้วสามารถแลกของรางวัลที่เขาต้องการได้ ทำให้เด็ก ๆ ใจจดจ่อกับการสะสมความดี ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเจตนาของนักจิตวิทยา บางครั้งอาจเป็นการสร้างนิสัย หรือเป็นการสร้างกฎกติกาโดยไม่รู้ตัวว่า เมื่อเด็ก ๆ ทำความดี หรือทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการจะต้องได้รับของรางวัลเสมอ ในทางกลับกันหากเขาไม่ได้รับรางวัลในสิ่งที่ตนเองต้องการ จะกลับกลายเป็นการสร้างข้อแม้ทุกครั้ง ในการทำงานใด ๆ เมื่อเขาโตขึ้น เช่น ถ้าหนูไปเรียนวิชานี้ พ่อจะซื้อตุ๊กตาให้ ซึ่งเด็กก็อาจยอม และมีความกระตือรือร้นในครั้งแรก แต่พอครั้งต่อ ๆ ไป ที่คุณพ่อคุณแม่ ไม่มีของรางวัลให้ ความกระตือรือร้นของเด็กก็จะหมดไปด้วย ทำให้การเรียนไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เสียเงินทองในการส่งบุตรหลานเรียนไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ประสบความสำเร็จกับการทำอะไรเลย เมื่อโตขึ้น

ดังนั้น ในการเลี้ยงดูบุตรหลาน จึงต้องมีการระมัดระวังในเรื่องของการให้รางวัล จะต้องใช้รางวัลกับสิ่งที่เด็ก ๆ ต้องใช้ความมานะ พยายามมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อเพิ่มคุณค่าของของรางวัล และคุณค่าของตัวเด็กเอง เพราะนอกจากรางวัลที่เขาจะได้รับแล้ว ยังได้รับการชื่นชมจากพ่อแม่ ผู้ปกครองซึ่งเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ และมีผลทางจิตใจและความรู้สึกกับตัวเด็กมากกว่าของรางวัลที่หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป

ครูจา

Tags : , , , , , | add comments

imagesAOG1JC17                        เมื่อพูดถึงคำว่า เวลา เราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าอะไรนัก จนกว่าจะมีการขีดเส้นจำกัดเวลาของกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่ง เมื่อนั้นเราถึงจะรู้คุณค่าของมัน ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ เช่นการทำข้อสอบ หากเราใช้เวลาในการทำข้อสอบในช่วงแรกนานจนเกินไป เราอาจถูกเก็บข้อสอบก่อนที่เราจะทำเสร็จ เช่นเดียวกัน เวลาที่เป็นวัยทองของเด็กก็มีจำกัดเช่นกัน วัยทองหมายถึงวัยของการเรียนรู้ ที่ผู้ใหญ่สามารถป้อนข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษา หรือ การเรียนรู้ เราจะมีเวลาตั้งแต่ทารก จนถึง 10 ปีเท่านั้น เนื่องจากวัยดังกล่าวนั้น เป็นช่วงที่สมองยังมีการเชื่อมต่อปลายประสาท ซึ่งสามารถส่งผลต่อการเรียนรู้ การรับรู้ และความฉลาดของเด็กเมื่อโตขึ้น

                        นอกจากในเรื่องของการเจริญเติบโตของสมองแล้ว เราจะกล่าวถึงเวลาในแง่ของการฝึกทักษะของคนโดยทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น การหัดขับรถของผู้ใหญ่ ก่อนที่จะขับขี่บนท้องถนนได้ ก็จะต้องเข้าใจอุปกรณ์ในรถยนต์ให้ครบทุกชิ้นก่อน แล้วจึงหัดเข้าเกียร์ และลงถนน พร้อมกับการเรียนรู้กฎจราจร นอกจากนี้การฝึกขับรถให้ชำนาญ สามารถแซง หรือการขับรถบนภูเขา ซึ่งต้องใช้ความชำนาญทั้งพื้นที่และการขับรถที่ต้องใช้ประสบการณ์ที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการเรียนของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเรียนเสริมในใด ๆ  เช่น การเรียนดนตรี ศิลปะ หรือแม้กระทั่งวิชาการต่าง ๆ หากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้ เรียนรู้ และฝึกประสบการณ์ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการฝึกทักษะให้คล่องแคล่ว พร้อมกับการสั่งสมประสบการณ์เพื่อให้สามารถพลิกแพลงเมื่อพบกับปัญหาที่แตกต่างจากเดิม  

                        หากพ่อแม่ ผู้ปกครอง ไม่มีความอดทน รอคอยให้เด็ก ๆ ได้สะสมประสบการณ์ จะทำให้ขาดความชำนาญ ไม่ว่าจะให้เด็กฝึกทักษะใด ๆ หากไม่มีประสบการณ์ที่มากพอแล้วหยุดการฝึกประสบการณ์ จะทำให้สิ่งที่สะสมมา ก็จะไม่เกิดประโยชน์ เมื่อเทียบกับเวลา(ในวัยทอง)ที่เสียไป

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , | add comments

0511-1106-2015-0951_Boy_Superhero_clipart_imageหลังจากการแข่งขันจินตคณิตคิดเร็ว เมื่อวันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2556 ผลคะแนนของเด็ก ๆ บางคนคุณพ่อคุณแม่อาจไม่พึงพอใจ ซึ่งเป็นเพราะความคาดหวังในตัวเด็ก ที่คิดว่าเขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่หลาย ๆ ครอบครัวก็พอใจกับผลคะแนน ถึงแม้จะไม่มีเหรียญหรือถ้วยรางวัลกลับมาให้คุณพ่อ คุณแม่ แต่สิ่งที่เราได้เห็นคือ ความตั้งใจในการซ้อมของเด็ก ความมุ่งมั่นในการทำงานในข่วงเวลาที่กำหนด แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เด็กทุก ๆ คน ก็ทำอย่างเต็มความสามารถของเขาแล้ว หากมีใครได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศการแข่งขัน ก็จะได้พบนักสู้ตัวจิ๋วที่มีแววตามุ่งมั่นเต็มสนามแข่งไปหมด

Tags : , , , , , , , , | add comments

คราวนี้เราก็พอมองภาพกว้าง ๆ ออกแล้วว่า เราไม่ควรให้ความสนใจ หรือพัฒนาทักษะ หรืออัจฉริยภาพในด้านเดียว แต่ควรให้เด็กมีการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันทุกาน คราวนี้มาดูว่าอีก 2 Q ที่เหลือจะหมายถึงอะไร และมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร

ความฉลาดทางสังคม (SQ) ซึ่งนักจิตวิทยาหลาย ๆ ท่านให้คำจำกัดความว่า เป็นการที่บุคคลสามารถเจรจา ต่อรอง ในสภาวะต่าง ๆ หรือความเข้าใจในภาวะต่าง ๆ และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างฉลาด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ทดสอบด้าน SQ ที่ได้คะแนนมากกว่าจะมีความฉลาดทางสังคมมากกว่า เพียงแต่คนแต่ละกลุ่มก็จะมีความเชื่อ ความมุ่งมั่น ความสนใจ ความหวังและทัศนคติที่แตกต่างกันเท่านั้น

แต่ในทางกลับกันหากเด็กไม่ได้ถูกฝึกให้มีทักษะในการเข้าสังคม เมื่อเขาต้องเข้าสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น ก็อาจจะทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกอึดอัด ขัดข้องได้ หากเขารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น มันอาจเป็นแรงกระตุ้นให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่หากเขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ (นั่นก็คือ ทัศนคติที่แตกต่างกันนั่นเอง) เขาก็ไม่เดือดร้อนที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

สุดท้ายที่จะกล่าวถึงคือ MQ คือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การมีน้ำใจ ความเข้าใจผู้อื่น การรู้จักแยกแยะดีชั่ว สิ่งเหล่านี้หลาย ๆ คนมักคิดว่าเป็นเรื่องที่สอนยาก แต่จริง ๆ แล้วเด็ก ๆ เรียนรู้จากการเห็นตัวอย่างที่พ่อแม่เป็นผู้กระทำ และเด็ก ๆ จะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เขาได้รับรู้ ได้สัมผัส เป็นสิ่งที่เขาแสดงออกมา  MQ  เป็นสิ่งที่มีผลต่อสังคมมากที่สุด นั่นคือ หากเด็กถูกปลูกฝัง ให้รู้จักความดี ความชั่ว บาป บุญ คุณ และโทษ สังคมก็จะน่าอยู่ แต่ถ้าเด็กถูกสอนให้รู้จักแต่เอาชนะไม่ว่าจะด้วยวิธีที่บริสุทธิ์ หรือไม่ การอยู่ร่วมกันในสังคมก็ไม่น่าอยู่เสียแล้ว

สุดท้ายเราคงต้องฝากอนาคตของชาติ สังคมไทย ที่อยู่ในมือของพ่อแม่ ผู้ปกครองว่าจะทำให้สังคมผันแปรไปในทิศทางใด หรือ อยากให้ลูกหลานเติบโตในสังคมแบบใด

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments