ในการเรียนในโรงเรียนในแต่ละระดับชั้น จำเป็นที่จะต้องเรียนในหลากหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้  ซึ่งในแต่ละกลุ่มสาระนั้น จะมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เช่น การเรียนในวิชาสังคม ประวัติศาสตร์ ภาษาไทย หรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ จำเป็นที่จะต้องท่องจำเนื้อหาให้แม่นยำ ส่วนในหมวดวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ หากการเรียนใช้วิธีการท่องจำนั้น การท่องจำนั้นไม่สามารถทำให้การเรียนรู้เกิดการประยุกต์ใช้ได้มากนัก เนื่องจากสองกลุ่มสาระดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความรู้พื้นฐานเพื่อต่อยอดสู่การประยุกต์ในการทำโจทย์ที่แตกต่าง หลากหลายมากขึ้น

จริงอยู่ที่ในการเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์นั้น จะต้องมีการท่องจำทฤษฏีในเบื้องต้น เช่น 5 x 2 หมายถึงการบวกกัน 5 กลุ่มของ 2 (2 + 2 + 2 + 2 + 2) ไม่ใช่  5 + 5 ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่เท่ากัน แต่ในความหมายที่แตกต่างกัน การเรียนรู้ทฤษฏีดังกล่าวจะต่อยอดไปสู่ชั้นที่สูงขึ้น ที่ว่าคำว่าของทางคณิตศาสตร์คือการคูณ หากการเรียนโดยใช้ความจำเพียงอย่างเดียว มักส่งผลให้เมื่อเจอโจทย์ปัญหา หรือโจทย์ประ ยุกต์ ก็จะต้องจำโจทย์ทุกๆ โจทย์ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้

หากเป็นเช่นนี้ ที่จะต้องให้เด็กเรียนทุกอย่างด้วยความจำ หลังจากสอบเสร็จ หรือเมื่อเวลาผ่านไป เด็กก็จะลืมในที่สุด แล้ววิชาที่ต้องใช้ความเข้าใจอย่างวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ก็จะไม่สามารถต่อยอดออกไป เนื่องจากต้องย้ำเนื้อหาเดิมให้จำได้ก่อนเพื่อจะได้จดจำเนื้อหาใหม่ที่ต่อเนื่องต่อไปให้ได้ ปัญหาดังกล่าวก็จะเรื้อรังยาวนานไปเรื่อยๆ จนเด็กมีทัศนคติไม่ดี และเกลียดวิชาดังกล่าวในที่สุด หากเป็นเช่นนี้จะดีกว่าหรือไม่ หากเราส่งเสริมให้เด็กเรียนวิชาดังกล่าวด้วยความเข้าใจ มากกว่าด้วยวิธีการท่องจำ

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

images            บ่อยครั้งที่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานที่เรียนคณิตศาสตร์ไม่เข้าใจ หรือค่อนข้างอ่อน หลังจากที่ส่งไปเรียนตามสถาบันต่างๆ หลายสถาบันก็ยังไม่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของบุตรหลาน มักจะมีความคิดที่จะหาครูเพื่อสอนบุตรหลานแบบตัวต่อตัว ก่อนที่จะคิดแก้ปัญหาโดยการหาครูเพื่อมาสอนบุตรหลานแบบตัวต่อตัวนั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีไหมว่าบุตรหลานของเรามีความจำเป็นในการเรียนแบบตัวต่อตัวเหมือนเด็กพิเศษหรือ เนื่องจากการเรียนคณิตศาสตร์แบบตัวต่อตัวนั้น มักเหมาะกับการที่เด็กไม่สามารถเรียนรวมกับกลุ่มได้ มีสมาธิอยู่ในช่วงสั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เหมาะกับเด็กที่เป็นเด็กพิเศษ ดังนั้นจึงต้องมีครูพี่เลี้ยงคอยประกบในการเรียนอยู่ค่อนข้างตลอดเวลา

หากบุตรหลานไม่ได้เป็นเด็กพิเศษ การเรียนแบบตัวต่อตัวในมุมมองของครู แทบไม่ได้ส่งผลดีเลยในการเรียนคณิตศาสตร์ ครูเคยเขียนบทความเรื่องที่ว่าทำไมเด็กบางคนไม่สามารถเรียนในกลุ่มใหญ่ได้ (ลองย้อนกลับไปดูได้นะคะ) การที่เด็กบางคนเรียนตามกลุ่มเพื่อนไม่ทัน ไม่ได้หมายความว่าเขาจำเป็นต้องเรียนตัวต่อตัว เพียงแต่ว่าพื้นฐานและทักษะทางคณิตศาสตร์ของเขาไม่ทันกับกลุ่ม เนื่องจากความเข้าใจยังไม่สามารถเข้ากลุ่มที่เรียนไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งการเรียนคณิตศาสตร์ที่เหมาะกับเด็กกลุ่มนี้คือการเรียนที่ไม่ได้ไปพร้อมกันการเรียนเป็นการแบ่งกลุ่มเล็กๆ ที่มีเนื้อหาขึ้นอยู่กับเด็กและทักษะความเข้าใจของเด็กแต่ละคน ครูจะต้องทำความเข้าใจหรืออธิบายเนื้อหาให้กับเด็กก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ต้องปล่อยให้เขาทำแบบฝึกหัดในการแก้ไขปัญหา นอกจากเด็กจะเกิดทักษะ และมีกระบวนการคิดแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง แล้วยังเป็นการวัดความเข้าใจในบทเรียนที่ครูสอน ว่าเขามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้แล้วการเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ จะทำให้เด็กมีสังคม มีเพื่อน คอยกระตุ้นกันเองด้วย การเรียนแบบตัวต่อตัว ผู้ปกครองมักคิดว่าบุตรหลานจะได้รับความรู้ความเข้าใจเต็มชั่วโมง แต่ในทางกลับกันการเรียนคณิตศาสตร์แบบตัวต่อตัว เป็นความจริงที่ครูจะต้องเป็นคนประกบเด็กตลอดเวลา ถ้าเด็กเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจ ก็จะไม่กล้าที่จะเริ่มคิดวิเคราะห์ปัญหาด้วยตนเอง ครูก็จะเป็นฝ่ายที่จะเริ่มชี้นำวิธีคิดให้เขา เช่นเดียวกับเด็กที่เฉื่อย เนื่องจากเป็นเด็กที่เฉื่อยจะไม่พยายามทำอะไรด้วยตนเองอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีความพยายามที่จะคิดเมื่อมีคนคอยช่วย กระบวนการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก็ไม่เกิดขึ้น  นอกจากนี้แล้วยังเกิดปัญหาการเข้าสังคมด้วย เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นลูกคนเดียว โดยปกติก็มีปัญหาการเข้าสังคมอยู่แล้ว หากยิ่งจัดสรรการเรียนให้เป็นแบบตัวต่อตัว นอกจากปัญหายังแก้ไม่ถูกจุดแล้ว ยังเป็นการเพิ่มปัญหาด้านสังคมเพิ่มขึ้นอีกปัญหาด้วย

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , , | add comments

20175387-a-vector-illustration-of-kids-studying-math-in-classroom-with-teacher            เคยมีผู้ปกครองหลายๆ คนถามว่า เด็กที่เรียนเก่งอยู่แล้ว ทำไมยังต้องเรียนเสริมอีก  และบางทีอาจเป็นคำถามจากตัวเด็กเอง คำอธิบายมีอยู่ว่า การเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคณิตศาสตร์นั้น ในแต่ละช่วงชั้น หรือแม้กระทั่งในแต่ละปีระดับการศึกษาที่เพิ่มขึ้น จะสอดคล้องกับระดับของความยาก ความซับซ้อนของการแก้ไขปัญหาโจทย์ก็จะมากขึ้นตามลำดับ ในการเรียนคณิตศาสตร์นั้น สิ่งที่จำเป็นในการเรียน เบื้องต้นคือความเข้าใจ สิ่งต่อมาที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือทักษะ นั่นหมายความว่าเด็กจะต้องมีความเข้าใจในการเรียน และมีการฝึกทักษะโดยการทำแบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ จากโจทย์ปัญหาที่ผ่านการฝึกฝนโจทย์ปัญหาก็จะกลายเป็นแบบฝึกหัดธรรมดาในที่สุด การฝึกทักษะไม่จำเป็นต้องส่งบุตรหลานเรียนเสริมก็ได้ หากที่บ้านสามารถฝึกฝนให้เด็กมีการฝึกทักษะได้อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ แต่ในความเป็นจริงของยุคปัจจุบัน พ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถฝึกทักษะต่างๆ ด้วยตนเองได้ การส่งบุตรหลานไปเรียน เป็นทั้งการฝึกทักษะเดิมให้มีความชำนาญมากขึ้น และนอกจากนี้แล้วยังเป็นการเรียนรู้เนื้อหาที่ลึกซึ้งมากขึ้น หรืออาจเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วย

นอกจากนี้การเรียนเพื่อเพิ่มทักษะ และความเข้าใจแล้ว ยังเป็นการเตรียมตัวให้เด็ก ซึ่งต้องมีวันใดวันหนึ่งที่เขาจะต้องเข้าสู่สนามสอบแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการคัดเด็กเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาทั้งตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือในที่สุดก็เป็นสนามสอบเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัยนั่นเอง

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , | add comments

niE9kX6iA          หลังจากปิดภาคเรียนที่ 1 มา 3 สัปดาห์แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงของการประกาศผลการสอบของภาคเรียนที่ผ่านมา อาจมีเด็กหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงของการปรับตัวจากเด็กเล็ก (อนุบาล) ที่มีการเรียนไม่เข้มข้นนัก สู่การเรียนในชั้นประถม 1 ที่ต้องมีการเขียนอ่านกันอย่างขะมักเขม้น ต้องยอมรับว่าเด็กๆ ยังต้องการเวลาในการปรับตัวบ้าง แต่เด็กบางคนที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ส่งให้กับสถาบันกวดวิชาต่างๆ ย่อมจะต้องคาดหวังว่าคะแนนสอบน่าจะดีขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ แต่บางครั้งผลสอบที่ออกมาก็ยังไม่น่าพอใจนัก มักมีคำถามว่าทำไมเราส่งบุตรหลานเรียนแล้วคะแนนยังไม่ดีขึ้น

ก่อนที่จะดูถึงผล เราลองมาย้อนดูที่ต้นเหตุของคะแนนที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก อาจเกิดจากความไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชาเรียนมีมากจนต้องแก้ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจำเป็นต้องให้เวลากับเด็กในการเรียนรู้วิธีการหรือเทคนิคที่จะได้จากสถาบันต่างๆ ให้เวลากับครูเพื่อที่จะถ่ายทอดเทคนิค หรือวิธีการต่างๆ ให้กับเด็ก ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จำเป็นต้องให้เวลากับตัวเด็กและ ครูผู้มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย หากพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ให้เวลากับบุตรหลานในการเรียนรู้ เด็กถูกย้ายที่เรียนบ่อยๆ กลายเป็นว่าต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ่งที่ควรจะได้กลับกลายเป็นคว้าน้ำเหลวไป การส่งบุตรหลานเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในแนววิชาการหรือกิจกรรม ควรให้เวลากับทั้งครูผู้สอน เพื่อถ่ายทอดความรู้ และเด็กๆ ที่จะต้องฝึกฝนวิธีการให้ชำนาญด้วยตัวของเขาเอง

ครูจา

Tags : , , , , , , , | add comments

untitled            หลายครั้งที่เขียนเกี่ยวกับแนวการเรียนการสอนจินตคณิตไปแล้ว คราวนี้จะเป็นเรื่องของวัยที่เหมาะสมกับการเรียนจินตคณิต

อันที่จริงแล้วการเรียนจินตคณิตไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องว่าเด็กโตแล้วเรียนไม่ได้ แต่สำหรับเด็กที่เล็กเกินไป เป็นข้อจำกัดเรื่องกล้ามเนื้อมือเป็นหลัก

คราวนี้มาดูที่รายละเอียดกันว่าการเรียนจินตคณิตสำหรับวัยไหนที่เหมาะสมที่สุด เริ่มตั้งแต่ปฐมวัย หรืออนุบาลก่อน เนื่องจากเด็กอนุบาลการเรียนคณิตศาสตร์จะเริ่มตั้งแต่จำนวนและตัวเลข แล้วจึงค่อยพัฒนาเข้าสู่การเรียนการบวก-ลบ การเรียนจินตคณิตจะเป็นการแนะนำตัวเลขให้กับเด็กได้จับต้องได้เป็นรูปธรรม และยังเป็นการนำการบวกเพิ่ม หรือการลด ให้เด็กได้มีความเข้าใจถึงการบวก-ลบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงถือว่าการเรียนจินตคณิตโดยใช้ลูกคิดเป็นสื่อนำให้เขาเข้าใจในการเรียนคณิตศาสตร์ได้อย่างดี  วัยประถม(ต้น) เป็นวัยที่การเรียนจินตคณิตจะเป็นการจัดระบบความคิด ทั้งเรื่องของค่าประจำหลัก และการบวก-ลบ คูณ หาร ซึ่งเด็กบางคนที่มีปัญหากับคณิตศาสตร์อาจมีผลเนื่องจากความไม่เข้าใจเรื่องค่าประจำหลัก การบวก-ลบ เลขขอยืม ซึ่งในการเรียนลูกคิดจะเห็นเป็นภาพที่ชัดเจน และเด็กๆ จะสามารถปฏิบัติการทางคณิตศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง  แต่ในเด็กประถม(ปลาย) ส่วนใหญ่จะมีกระบวนการคิดคำนวณคณิตศาสตร์ที่คล่องแล้ว การใช้ลูกคิดจะถือว่าตามหลังสิ่งที่เขารู้มาแล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียน เพราะเป็นสิ่งที่ตนเองเรียนรู้จนชำนาญแล้ว จึงไม่แนะนำให้เด็กประถม(ปลาย) เรียนจินตคณิตสักเท่าใด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเรียนไม่ได้ เพียงแต่ผลสัมฤทธิ์ที่จะนำไปใช้ ช้ากว่าบทเรียนคณิตศาสตร์ที่เรียนในโรงเรียน แต่เนื่องจากผู้ปกครองหลายๆ คนมักเข้าใจว่าเด็กประถม(ปลาย)ที่มีปัญหาทางคณิตศาสตร์เกิดจากการคิดคำนวณผิดพลาด ควรได้รับการแก้ไข แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กที่มีปัญหาการเรียนคณิตศาสตร์ อาจไม่มีปัญหาการคำนวณเลยก็เป็นได้ ซึ่งส่วนใหญ่ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของเด็กโตจะอยู่ที่ความเข้าใจเป็นหลัก หากจะแก้ปัญหาจริง ๆ ต้องหาสาเหตุที่แท้จริงกันก่อนจะเสียทั้งค่าใช้จ่ายและเวลา ในการเรียนที่ไม่ได้แก้ปัญหาผิดทาง

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , , , , | add comments

images (3)            พ่อแม่ ผู้ปกครอง เมื่อส่งบุตรหลานเรียนพิเศษ ย่อมหวังว่าบุตรหลานของตน ต้องเรียนอยู่ในระดับชั้น หรือมีความรู้เทียบเท่า และสามารถต่อยอดกับสถาบันต่างๆ ได้ทันที

หลายๆ วิชาอาจเป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงของการเรียนคณิตศาสตร์ อาจไม่เป็นเช่นนั้น บางสถาบันที่เป็นการเรียนในกลุ่มใหญ่ จะไม่มีการทดสอบพื้นฐานความรู้ทางคณิตศาสตร์ สามารถเข้าไปเรียนในกลุ่มได้เลย ในการเรียนดังกล่าวจะไม่มีปัญหาใดๆ หากเด็กนั้นมีพื้นฐานความรู้ทางคณิตศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ แต่หลายๆ คนที่มีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ไม่เป็นไปตามชั้นเรียน จะไม่สามารถเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนในกลุ่มใหญ่ เนื่องจากความรู้พื้นฐานที่ต้องใช้ในการต่อยอดความรู้ไม่เพียงพอ เช่น เด็กๆ จะเรียนเรื่องร้อยละได้ยาก หากไม่มีความเข้าใจ หรือความรู้พื้นฐานเรื่องเศษส่วน และทศนิยม หรือเด็กจะไม่สามารถเข้าใจเรื่องเศษส่วนได้ ถ้าเขาไม่มีความเข้าใจเรื่องการคูณการหาร นั่นเอง ดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรติดตามความเข้าใจในบทเรียนของบุตรหลาน โดยการติดตามจากผลการสอบกลางภาค และการสอบย่อยต่างๆ

การเรียนอีกรูปแบบหนึ่ง คือการเรียนในแนวของการปูพื้นฐาน หลายๆ สถาบันเลือกที่จะมีการทดสอบความรู้พื้นฐาน หรือทักษะทางคณิตศาสตร์ก่อน ว่าเด็กอยู่ในระดับใด ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้ง เด็กถูกดันไปเรียนในระดับที่ยากกว่า หรือโตกว่าระดับชั้นจริง และในทางกลับกัน เด็กก็ต้องถูกลดระดับการเรียนลงเพื่อปรับพื้นฐานก่อน ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาในระดับจริงได้ ดังนั้นการเลือกสถานที่เรียน ต้องเลือกให้เหมาะกับความรู้พื้นฐานของบุตรหลานด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลา และได้ประโยชน์สูงสุด

ครูจา

Tags : , , , , , , , , | add comments

1312628014480            พอกล่าวถึงการเรียนจินตคณิต ร้อยละ 90 มักมีความเข้าใจว่า การเรียนจินตคณิต เปรียบเหมือนเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ช่วยในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กๆ เนื่องจากผู้ปกครองหลายๆ คนมักส่งบุตรหลานให้เรียนจินตคณิต เมื่อพบว่าบุตรหลานมีปัญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์

ก่อนอื่นต้องมอง ปัญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ การอ่าน , การคำนวณ และการตีความ ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ในช่วงชั้นแรก (ป.1 – 2) ปัจจัยในการเรียนคณิตศาสตร์ส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในเรื่องจำนวน หรือเรื่องค่าประจำหลัก เท่านั้น เนื่องจากในช่วงวัยนี้ยังไม่มีการแก้ไขโจทย์ปัญหาเท่าใดนัก เป็นการเรียนรู้เพื่อปูความรู้พื้นฐานเข้าสู่การแก้ไขโจทย์ปัญหาในระดับที่โตขึ้น ซึ่งหากเด็กมีปัญหาในข่วงวัยนี้ การเรียนจินตคณิต เป็นการเรียนที่ตอบโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้อย่างแน่นอน  แต่หากเด็ก อยู่ในวัยที่โตขึ้น (ตั้งแต่ ป.3 ขึ้นไป) การเรียนคณิตศาสตร์จะเริ่มมาจากปัจจัย เรื่องการอ่าน หรือ เป็นเพียงปัญหาการตีความ แต่ในเด็กบางคน ที่มีปัญหาเรื่องจำนวน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการไม่ยอมท่องสูตรคูณ หรือความไม่เข้าใจเรื่องการคูณ หรือการหาร หากบุตรหลานประสบปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์ พ่อแม่ผู้ปกครอง จำเป็นต้องหาสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา และแก้ไข

เราจะทราบได้อย่างไรว่าสาเหตุของปัญหา อยู่ตรงไหน  หากเด็กมีปัญหาในเรื่องของการอ่าน เด็กจะมีปัญหากับทุกๆ วิชา ไม่ใช่วิชาคณิตศาสตร์เพียงวิชาเดียว แต่หากเด็กมีปัญหาเพียงวิชาคณิตศาสตร์ ก็ต้องมาดูว่าปัญหาเกิดเพียงอย่างเดียวคือเรื่องของการตีความ หรือมีปัญหาทั้งสองด้าน ทั้งการตีความและการคำนวณ หากเด็กมีปัญหาในเรื่องของการคำนวณ ในความเป็นจริงการแก้ไขในเรื่องของการคำนวณทำได้ไม่ยาก นั่นคือให้เด็กมีการฝึกทักษะ หรือทำแบบฝึกหัดให้มากขึ้น ส่วนการตีความนั้น เราสามารถแก้ได้ด้วยการวาดเป็นภาพในช่วงแรกเด็กยังต้องมีการชี้นำ แต่เมื่อเขามีความเข้าใจ เขาจะสามารถตีความเป็นภาพออกมาได้ชัดเจน และสามารถแก้ไขปัญหาโจทย์ได้อย่างเป็นระบบดังนั้นหากบุตรหลานมีปัญหาในเรื่องของการเรียน อย่าปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นทัศนคติที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , | add comments

5070402-head-silhouette-and-gears-mental-health-concept            ผู้ปกครองหลายๆคน ยังคงมีข้อสงสัยว่าจินตคณิตกับการคิดในใจเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่เหมือนกันของการคิดในใจกับจินตคณิตก็คือ ผลลัพธ์ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ วิธีการที่แตกต่ากัน มาดูการคิดในใจกันก่อน การคิดในใจคือการคิดคำนวณด้วยจำนวน โดยที่เด็กที่จะคิดในใจได้จะต้องมีทักษะ หรือครูชี้แนะวิธี เช่น 27 + 9  การ +9 ทำได้โดยการ  + 10 ก่อน แล้วค่อย -1 ซึ่ง 27 + 1สิบ (การบวก 1 ในหลักสิบ) ก็จะได้ 37 แล้วลดลง 1 (เนื่องจากบวกเกินไป 1) ก็จะได้ผลลัพธ์คือ 36  หรือการคิดในใจแบบการลบ ก็ทำได้เช่นกัน เช่น  22 – 8 การ -8 ทำได้โดยการ – 1 สิบ แล้ว +2 นั่นคือ 22 – 1สิบ จะได้ 12 แล้ว + 2 (การลบ 10 เป็นการลบเกินไป 2 ก็ต้องบวกกลับเข้ามา 2)ผลลัพธ์ก็คือ 14 นั่นเอง ซึ่งในการฝึกคิดเลขในใจ จะเห็นว่าเด็กจะต้องมีความเข้าใจอย่างแม่นยำในเรื่องของค่าประจำหลัก จึงจะทำให้เด็กมีการคำนวณที่ไม่ผิดพลาด

ส่วนจินตคณิตนั้น เป็นการคิดคำนวณเป็นภาพลูกคิด มีการเคลื่อนเม็ดลูกคิดขึ้นลง 4 มิติ การเห็นภาพเคลื่อนไหวของเม็ดลูกคิด (เราเรียกกันว่าการจินตนาการ) นั้น ทำให้เด็กสามารถจดจำคำตอบได้อย่างแม่นยำ หากเปรียบเทียบการคิดเลขในใจ กับการจินของจินตคณิต การคิดในใจเหมือนการอ่านวิทยานิพนธ์ หรืองานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้ประสบการณ์ในการอ่านเพื่อทำความเข้าใจมาวิเคราะห์เป็นตัวหนังสือที่เป็นความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง ส่วนจินตคณิตเปรียบเหมือนกับการดูการ์ตูนที่เป็นภาพเคลื่อนไหวของเด็ก เด็กจะสามารถจำภาพเคลื่อนไหวได้ดีกว่า (ในเด็กเล็ก) การคิดเป็นจำนวน

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , | add comments

ผลของ AEC

Posted by malinee on Monday Jun 9, 2014 Under เกร็ดความรู้

aec-asian-kids-global-countries-31274934            เหลือเวลาอีกไม่ถึงปี ที่จะมีการเปิดประเทศเข้าสู่ AEC (ประชาคมอาเซียน) ทำให้เกิดการกระตุ้นทางด้านการศึกษากันอย่างกว้างขวาง  โรงเรียนหรือสถานศึกษาหลายๆ แห่งเปิดโครงการการเรียนการสอนแบบ EP (English Program) กันอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ต้องการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กๆ ในด้านของภาษามากขึ้น

แนวทางในการเรียน EP ของหลายๆ โรงเรียน จะเป็นการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษเพิ่มเข้ามาจากหลักสูตรปกติ แนวทางดังกล่าวน่าจะส่งผลดีกับตัวเด็ก ให้เด็กได้มีความคุ้นเคยในการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยที่ทั้งหลักสูตรที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษควรจะไปในทิศทางเดียวกัน หรือคู่ขนานกันไป รวมทั้งหากเด็กได้ฝึกฝน หรือเตรียมความพร้อมทางด้านภาษาไว้แล้ว แต่ในทางกลับกัน หลักสูตรที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ร่วมกับการติดอยู่กับภาษาของเด็กหลายๆ คน ที่ไม่มีความคุ้นเคยกับการใช้ภาษา และยังต้องมีคำศัพท์เฉพาะอีกมากมายที่ต้องจำและทำความเข้าใจ ส่งผลให้เด็กเกิดความท้อแท้ เนื่องจากความไม่เข้าใจด้านภาษา รวมกับความไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน

ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องการให้บุตรหลาน มีการเรียนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรมีการติดตามแนวการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง หรือ ในช่วงของการสอบคัดเลือก ควรจะมีการศึกษาถึงแนวการเรียนการสอนของแต่ละโรง เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับบุตรหลาน ให้เขาใช้เวลาในช่วงของการปรับตัวในช่วงที่สั้นที่สุด เพื่อให้การเรียนได้สัมฤทธิ์ผลที่สุด

ครูจา

Tags : , , , , , , , | add comments

stock-vector-schoolboy-with-homework-23006326            ในการเรียนไม่ว่าจะเป็นการเรียนในวิชาใดๆ การจัดการบ้านให้กับเด็กๆ เพื่อเป็นการวัดความเข้าใจในชั้นเรียนของครูผู้สอน ว่ามีความเข้าใจเนื้อหาในการเรียนการสอนแล้วหรือยัง

สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ พ่อแม่ ผู้ปกครองมักปล่อยให้เด็กๆ เรียนทำการบ้านหลังเลิกเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่า การจราจรในกรุงเทพไม่เอื้ออำนวยทำให้ไม่สามารถไปรับบุตรหลานได้ตามเวลาเลิกเรียน หรือเพื่อต้องการตัดปัญหา การรบเร้าให้บุตรหลานทำการบ้าน รวมถึงการสร้างสมรภูมิรบในบ้านหลังเลิกเรียนและเลิกงาน สิ่งที่เลือกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน แต่นั่นหมายความว่าโอกาสทองของเด็กที่จะได้ทบทวนเนื้อหาความเข้าใจในวิชาต่างๆ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ที่ต้องการการฝึกฝน และการจัดกระบวนการคิด จากการทำการบ้านด้วยตนเองก็หายไป และนอกจากนี้แล้วโอกาสของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่จะได้ทราบถึงพัฒนาการในการเรียนของบุตรหลานก็หายไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทราบข้อบกพร่อง หรือแก้ไขความไม่เข้าใจในเนื้อหาบทเรียนของเด็ก จนกระทั่งปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนเด็กๆ ต้องมีการสอบแข่งขัน จึงรู้ตัวว่าเวลาในการที่จะให้เด็กทำความเข้าใจกับเนื้อหาต่างๆ มันสั้นเกินไป

หากปล่อยให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จะเป็นสาเหตุให้ความไม่เข้าใจในบทเรียนก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กไม่มีความสนใจในการเรียนในที่สุด

ครูจา

Tags : , , , , , , , , , , | add comments