Feb 12
![](https://www.kiddsquare.com/wp-content/uploads/2018/02/คะแนนเฉลี่ยของการเข่งขันจินตคณิต.jpg)
มีข้อสงสัยมากมายว่าการเรียนจินตคณิตจะมีประโยชน์กับเด็กจริงหรือ หลายๆ ครั้งที่ครูได้มีโอกาสได้ให้ข้อมูลมาบ้างแล้วว่า การเรียนจินตคณิตเป็นการเสริมสร้างพัฒนาสมอง และยังเพิ่มสมาธิให้กับผู้เรียนได้อีกด้วย
การเรียนจินตคณิตในแต่ละวัยการเรียน จะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากในวัยอนุบาล เด็กจะเริ่มจากการเรียนรู้เรื่องจำนวนให้เป็นรูปธรรมผ่านการใช้ลูกคิด โดยการขยับลูกคิดขึ้นลง ในช่วงเวลาหนึ่ง การใช้ลูกคิดจะเริ่มมีการแต่ในวัยประถมการใช้ลูกคิดจะมีการแทนค่าประจำหลักในแต่ละหลัก นอกจากลูกคิดจะใช้ในการบวกลบได้แล้ว เรายังสอดแทรกทฤษฏีทางคณิตศาสตร์ได้โดยการให้เด็กๆ ได้ดีดบวกซ้ำๆ และให้เค้าได้เรียนรู้ว่าการบวกซ้ำๆ ก็คือการคูณนั่นเอง (โดยให้เค้านับจำนวนครั้งของการดีด เช่น บวกทีละ 2 จำนวน 8 ครั้ง นั่นคือการบวกกัน 8 ครั้งของ 2 นั่นคือ 8 x 2 ซึ่งได้คำตอบคือ 16 นั่นเอง) ในการหารก็เช่นเดียวกัน
จากตารางและกราฟด้านล่างเป็นการนำเสนอข้อมูลของการคิดเลขในกระบวนการที่แตกต่างกัน นั่นคือ เราจัดเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นเด็กที่ผ่านการเรียนจินตคณิต ส่วนอีกกลุ่มเป็นเด็กที่เรียนการคิดเลขในแบบปกติ โดยการวิจัยครั้งนี้ ครูได้ทำงานวิจัยในโรงเรียนอนุบาล (ในแนวเร่งเรียน) แห่งหนึ่ง จากผลการวิจัยพบว่า เด็กที่เรียนจินตคณิตจะทำคะแนนสูงกว่าเด็กที่ใช้วิธีการคิดแบบปกติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก อนุบาล 2 เราจะเห็นสัมฤทธิผลของการคิดเลขแตกต่างกันอย่างมาก นอกจากนี้แล้วจากตารางที่แสดงคะแนนเฉลี่ย เป็น % ยิ่งชี้ให้เห็นว่า การคิดคำนวณของเด็กที่เรียนจินตคณิตนั้น ถูกต้องและแม่นยำกว่าการคิดคำนวณในแบบปกติมาก
จากการนำเสนอข้อมูลเบื้องต้น เราจะพบว่า นอกจากจินตคณิตจะช่วยเรื่องการคำนวณของเด็กแล้ว ยังส่งผลถึงสมาธิของเด็กๆ อีกด้วย เมื่อเด็กมีสมาธิที่ดี การเรียนรู้ของเค้า ก็จะมีประสิทธิภาพด้วยช่นกัน
Jan 19
Posted by malinee on Thursday Jan 19, 2017 Under เกร็ดความรู้
![can-stock-photo_csp12816355](https://www.kiddsquare.com/wp-content/uploads/2017/01/can-stock-photo_csp12816355.jpg)
หลังจากเด็กๆ เปิดเทอมกันมาซักระยะหนึ่งแล้ว แน่นอนสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น คือการประเมินผลการเรียนรู้ของเด็กๆ หลายๆ คนผลการประเมินออกมาเป็นที่น่าพอใจ แต่เด็กๆ หลายๆ คนมีผลการเรียนดีในเกือบทุกวิชา ยกเว้นก็แต่วิชาคณิตศาสตร์
คุณพ่อ คุณแม่หลายๆ คนก็หนักใจกับการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของบุตรหลาน มักคิดว่าเด็กไม่มีความเข้าใจในการเรียน จนทำให้เกิดทัศนคติในด้านลบ เกลียดวิชาคณิตศาสตร์ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ก่อนอื่น เรามาดูสิ่งที่เด็กๆ ต้องเรียนในโรงเรียนกันก่อน การเรียนในชั้นประถมของเด็กจะมีวิชาหลัก คือ ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ในช่วงประถมต้น การเรียนรู้ในทุกๆ วิชาของเด็กส่วนใหญ่จะเป็นการท่องจำ (รวมถึงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการเรียนสิ่งแวดล้อมรอบตัวก่อน) ยกเว้นวิชาคณิตศาสตร์ที่จะต้องเรียนรู้วิธีคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ ป。1 ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง คือเด็กในยุคนี้ไม่อยากคิด ไม่อยากเริ่มอะไรด้วยตัวเอง เมื่อไม่อยากคิด กระบวนการเรียนรู้ที่ต้องคิดเป็นขั้นเป็นตอนก็ไม่เกิดการฝึกฝน ไม่ใช่ว่าเขามีปัญหาการเรียนรู้ และเมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาดังกลาวจะบานปลายไปยังวิชาวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเมื่อเด็กเข้าสู้ประถมปลาย การเรียนวิทยาศาสตร์ ก็จะเริ่มมีการคิดวิเคราะห์เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เราจะสังเกตว่าเด็ก ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดี จะสามารถเรียนในหลายๆ วิชา นั่นเป็นเพราะการเรียนคณิตศาสตร์เป็นการจัดลำดับกระบวนการคิดให้กับเด็กๆ นอกจากนี้การเรียนคณิตศาสตร์จะเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านการแก้ปัญหาให้กับเด็กๆ หากเด็กเริ่มต้นด้วยการขึ้เกียจคิด ทุกๆ การเรียนรู้ที้ต้องใช้กระบวนการคิดก็ไม่เกิดขึ้น และปัญหานี้ก็จะยุ่งเยิงพัวพันกับวิชาวิทยาศาสตร์ต่อไป
ในการเลี้ยงดูบุตรหลานแต่ล่ะคน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรฝึกให้เด็กได้มีอิสระทางความคิด และเสริมด้วยประสบการณ์ เช่นการเล่นเลียนแบบ การเล่นขายของ ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยคุณพ่อ คุณแม่ยังเด็กอยู่นั่นเอง
Sep 20
Posted by malinee on Tuesday Sep 20, 2016 Under เกร็ดความรู้
….การบ้าน….พอพูดคำนี้เด็กๆทุกคนมักส่าหน้ากันทั้งนั้น เพราะวันๆหนึ่งเรียนตั้งหลายวิชาและมีการบ้านทุกวิชา(อันนี้ครูเข้าใจค่ะ)แต่..เหตุผลของการให้การบ้านในทุกวิชาที่เรียน มันก็เพื่อทบทวนบทเรียนเพื่อฝึกทักษะความเข้าใจ โดยเฉพาะในวิชาหลัก เช่น คณิต อังกฤษ วิทย์ ไทย สังคมฯลฯ โดยเฉพาะเลขต้องมีการบ้านในทุกครั้งที่เรียน(ซึ่งเด็กๆไม่อยากได้เป็นพิเศษ) เพื่อทบทวนความเข้าใจ ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะช่วยเด็กคิดและทำการสอนการบ้านในวิธีการที่เราเคยเรียนผ่านมาก่อนซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีในการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว แต่การสอนตามที่เราเคยเรียนมาก่อนนั้นใช้ได้กับในบางวิชาเท่านั้น เพราะในบางวิชาก็มีวิธีคิดวิธีหาคำตอบในแบบของเค้า โดยเฉพาะวิชาจินตคณิตที่ใช้ลูกคิดเป็นสื่อในการสอนจะมีวิธีคิดตามแบบฉบับของตัวมันเองซึ่งผู้ที่เรียนเท่านั้น ที่จะสามารถใช้วิธีดีดลูดคิด เทคนิคการคำนวณ สูตรการคิด และการอ่านค่าลูกคิดได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ..ดังนั้นหากบุตรหลานของท่านใดเรียนจินตคณิตครูอยากแนะนำว่า..ปล่อยให้เค้าทำการบ้านลูกคิดด้วยตัวของเค้าเอง เพราะเค้าเป็นคนเรียน ทักษะ เทคนิควิธีคิดต่างๆ เค้าเรียนจากครูผู้สอนมาแล้ว หากเค้าทำการบ้านไม่ได้(ทำไม่ได้จริงๆนะค่ะไม่ใช่ไม่อยากทำละบอกทำไม่ได้ แต่เอาเวลาไปไล่จับโปรเกม่อนแบบนี่ไม่ได้นะค่ะ) ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกศิษทกับครูจะดีกว่า..ผู้ปกครองจะต้องเชื่อก่อนว่า การเรียนจินตคณิต และสถาบันที่สอนสามารถช่วยลูกๆในเรื่องของคณิตศาสตร์ การคำนวณ ได้จริง เชื่อมั่นในสถาบันที่สอนและเทคนิคของครูผู้สอน.. หากเชื่ออย่างนั้นแล้วก้อปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนเป็นคนสอนเค้าจะดีกว่า..ส่วนผู้ปกครองช่วยได้โดยการกวนขันให้เค้าทำการบ้านตามที่ครูกำหนด ไม่ใช่…. ไปบอกคำตอบเค้า ให้เค้านับนิ้ว ร้ายสุดให้เค้าใช้เครื่องคิดเลขในที่หาคำตอบ เพื่อให้การบ้านเด็กจะได้เสร็จๆไปหมดไปอีกหนึ่งภาระ การทำแบบนั้นจะเป็นการทำร้ายเด็กโดยตรงเลยทีเดียว..คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีคำตอบที่ตายตัว แต่มีวิธีคิดที่หลายหลาย..ปล่อยให้เค้าได้ใช้วิธีคิดด้วยตัวเค้าเองในแบบฉบับที่เค้าเรียนมาดีที่สุด..ขอบคุณและสวัสดีค่ะ..
Mar 29
ในช่วงปิดภาคเรียน ผู้ปกครองหลายๆ คนมักส่งบุตรหลานเรียนจินตคณิตเพื่อเป็นการพัฒนาสมอง จริงอยู่ที่ว่าการเรียนจินตคณิตเป็นการเรียนเพื่อการพัฒนาสมอง แต่สิ่งที่ผู้ปกครองควรรู้เพิ่มเติมคือ การเรียนในระยะสั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนอะไร มักให้ผลสัมฤทธิ์ที่ไม่ดีนัก การเรียนจินตคณิตนอกจากข้อจำกัดว่าต้องมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอแล้ว ยังเป็นการเรียนที่ลงรายละเอียดแม้กระทั่งวิธีการที่จะได้มาซึ่งคำตอบ ทั้งการบังคับใช้ลูกคิด และวิธีการดีด เพื่อให้เกิดประสิทธิผลที่ดีที่สุด การที่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจการเรียนของบุตรหลานเป็นเรื่องที่ดี แต่วิธีการที่คลาดเคลื่อนอาจก่อให้เกิดผลเสียนั่นเนื่องจากพ่อแม่มักพยายามที่จะสอนเนื้อหาโดยให้บุตรหลานดีดลูกคิดด้วยวิธีการของตนเองที่ใช้กับการคิดในใจ ซึ่งส่งผลให้เด็กสับสนและก้าวไปในเนื้อหาได้ไม่เร็วเท่าที่ควร วิธีการที่คลาดเคลื่อน ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น เช่นการส่งบุตรหลานไปเรียนภาษาจีน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่รู้วิธีการเขียนภาษาจีน ซึ่งมีรายละเอียดของลำดับขีดที่สำคัญต่อการเขียน มันทำให้เด็กเกิดความสับสนระหว่างสิ่งที่พ่อแม่สอน ซึ่งใช้ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของตนเองมาสอนเด็ก กับวิธีการที่ถูกต้องกับการเรียนในชั้นเรียน ทำให้เด็กไม่สามารถก้าวผ่านบทเรียนดังกล่าวได้เลย การเรียนจินตคณิตดูแล้วเหมือนการสอนให้เด็กคิดเลขในใจ ซึ่งผู้ใหญ่เกือบทุกคนมีประสบการณ์ในการคิดในใจอยู่แล้ว จึงพยายามช่วยบุตรหลานในวิธีที่ตนเองเข้าใจ ซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากวิธีที่ใช้ในการเรียนการสอนจินตคณิต ดังนั้น การทำการบ้านจินตคณิตของบุตรหลาน พ่อแม่ผู้ปกครองเพียงแค่สอดส่องดูแลไม่ให้บุตรหลานนับนิ้ว หรือคิดในใจมา ส่วนวิธีการต้องปล่อยเป็นหน้าที่ของผู้เรียนให้ได้ฝึกทบทวนการเรียนด้วยตัวของเขาเอง จะเป็นการดีที่สุด
ครูจา
Aug 21
Posted by malinee on Wednesday Aug 21, 2013 Under เกร็ดความรู้
ปัจจุบันเรามีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะต้องการรู้อะไรก็นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์และค้นหาได้ทันทีโดยใช้เวลาไม่นานนัก เช่นเดียวกับความรู้หรือแบบฝึกหัดต่าง ๆ ที่มีเปิดแชร์ข้อมูล มากมายราวกับร้านสะดวกซื้อที่มีอยู่ทุกถนน ความสะดวกเหล่านี้น่าจะทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถค้นหาความรู้ หรือแบบฝึกหัดเพื่อให้ลูกได้ฝึกฝนกันอย่างง่ายดาย เรามักได้ยินข่าวการลดชั่วโมงเรียนเด็ก การลดการบ้านเด็กอยู่บ่อยครั้ง จริง ๆ แล้วการลดชั่วโมงเรียนของเด็กเพื่อให้เด็กได้ฝึกฝนทักษะด้านอื่น ๆ ด้วยเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญคือ ผู้ถ่ายทอดทักษะ วิธีคิดให้เด็ก จะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ มีความรู้ในสิ่งที่ตนเองจะสอนเด็ก ๆ ด้วย ส่วนในแง่ของการลดการบ้านนั้น เราต้องมาวิเคราะห์ก่อนว่า การบ้านในแต่ละวิชามีไว้เพื่ออะไร ส่วนใหญ่มักจะได้รับคำตอบว่าเพื่อการฝึกฝน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับในบางวิชา อย่างเช่น คณิตศาสตร์ หลังจากเด็กเรียนจนเข้าใจแล้ว ก็จะต้องมีการให้แบบฝึกหัดเพื่อให้เด็ก ๆ เกิดทักษะในการคิดที่ดีขึ้นเป็นลำดับได้ และยังเป็นพื้นฐานต่อยอดไปเรื่องต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เราจะพบว่าเด็กในยุคปัจจุบัน สถิติการเข้าโรงเรียนจะเริ่มกันตั้งแต่วัยก่อนอนุบาล ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับสถิติของการอ่านออกเขียนได้ที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่ความจริงมันกลับตรงกันข้าม นั่นอาจเป็นเพราะการดูแลเอาใจใส่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องออกมาทำงานนอกบ้านทั้งคู่ และปล่อยให้เทคโนโลยีเป็นเพื่อน เป็นพี่เลี้ยง โดยเข้าใจว่ามันเป็นการเพิ่มสมาธิของเขา หรือมันทำให้เขาอยู่นิ่งได้นาน แต่หากเราสละเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อเขาเหล่านั้น เขาจะเติบโต มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ที่ดีต่อไปในอนาคต
Apr 16
Posted by malinee on Saturday Apr 16, 2011 Under เกร็ดความรู้
จากการเปิดสอนคณิตศาสตร์ของทางสถาบันมาหลายปี พบว่าเด็กในแต่ละยุคเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แต่มีแนวโน้มที่ค่อนข้างแย่ลง อาจเป็นเพราะระบบการศึกษาในปัจจุบันนี้ไม่มีการซ้ำชั้น ไม่มีการตีนักเรียน หรือแม้กระทั่งเกรดในและระดับนั้นจะมีการรวบรวมจากคะแนนเก็บประมาณ 70 -80 % ที่เหลือเป็นคะแนนสอบ ซึ่งทำให้ผลการเรียนไม่ใช่ผลการเรียนหรือความเข้าใจที่แท้จริงของเด็ก ซึ่งเราพบว่าเด็กหลาย ๆ คนอ่านหนังสือไม่คล่องหรือแม้กระทั่งการสะกดคำที่ไม่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่เด็กกำลังจะขึ้นฃั้นป. 4 โดยที่เด็กไม่เคยมีประวัติการสอบตกเลย ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ดูแลเด็กเพียงแค่ผลการสอบ หรือสมุดพกในแต่ละเทอม ก็อาจจะไม่ทราบว่าลูกนั้นมีปัญหาเรื่องการอ่าน กว่าจะรู้อีกทีก็เมื่อลูกเติบโตจนเค้ามีความรู้สึกที่ตนเองด้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นมาก และมีผลต่อเนื่องทำให้เขาไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียน หรือคิดว่าการเรียนนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากน่าเบื่อ เนื่องจากการอ่านเป็นพื้นฐานการเรียนในทุก ๆ วิชา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลลูกในช่วงปฐมวัยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เขาเหล่านั้นเติบโตพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เมื่อเขาโตขึ้น