ในช่วงของสถานการณ์​ที่พ่อ​แม่ผู้ปกครอง​หลายๆ​คน​มีโอกาส​ได้อยู่บ้านแบบยาวๆ​ เด็กๆ​ เองก็หยุดแบบยาวๆ​ กัน​ การมีเวลาว่างๆ​ ของเด็ก ถ้าเป็นครอบครัวที่สรรหากิจกรรม​ต่างๆ​ ได้ทำร่วมกัน​ ก็จะทำให้เด็กๆ​ อาจมีเวลาค้นหาตัวตนของตนเองว่าชอบอะไร​ แต่ในปัจจุบันน่าเสียดายที่เวลาของครอบครัว​ถูกเบียดด้วยจอสี่เหลี่ยม​ที่เราเป็นคนพามันเข้าสู่ครอบครัว​ แล้วทำให้เวลาในการปฏิสัมพันธ์​กันในครอบครัว​หายไป​ ทั้งๆ​ ที่อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
จากสถานการณ์​ของการระแพร่ระบาด​ ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ​ ปรากฏ​การณ์ใหม่ๆ​ หรืออาจเรียกว่าวิวัฒนาการ​ที่ทำให้การดำรงชีวิต​ของเราเปลี่ยนแบบไปบ้างไม่มากก็น้อย​ แต่ที่แน่ๆ​ คือ​เด็กในรุ่นนี้ต้องเผชิญ​กับการแข่งขันที่สูงมาก​ คงไม่มีพ่อแม่​ คนไหนคิิดจะให้บุตรหลานอยู่ภายใต้ปีกที่อบอุ่นของตนเองจนเค้าจากไป​ เรามีเพียงหน้าที่ที่จะดูแล​ชี้นำในสิ่งที่ถูกต้องหรือ​ เลือก#โรงเรียน สังคมให้เขาในวัยเด็กเท่านั้น​ สิ่งที่เราต้องคิดคือ​ เราได้เตรียมความพร้อมให้กับเขาสำหรับยุคของการใช​ AI (Artificial Intelligence) แล้วหรือยัง​
ยุคของ​ AI คืออะไร​ คือยุคที่มีการเปลี่ยนจากแรงงานคนเป็นคอมพิวเตอร์​เกือบทั้งหมด​ คำว่าแรงงานไม่ได้หมายความแค่ผู้ใช้แรงงาน​ แต่หมายรวมถึงพนักงาน​ทั่วไป​ ที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบที่มีฐานข้อมูล​ของคอมพิวเตอร์​ทั้งหมด​ ด้วยความที่เกิดมาในยุคดิจิทัล​ ทำให้ทุกอย่างต้องรวดเร็ว​ จึงขาดทักษะ​ของการรอคอย​ ไม่เห็นคุณค่า​ของการสิ่งของที่ได้มา​เพราะไม่เคยต้องแลกกับการรอคอย​ หรือการต้องทำบางอย่างเพื่่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ประกอบกับทางเลือกของพ่อแม่ผู้ปกครอง​ ทำให้เด็กทุกคนกลายเป็นลูกเทวดาในโรงเรียน​ เพราะโรงเรียนมีการแข่งขันกันสูงจึงถือว่าเด็กนักเรียนเป็นลูกค้า​ ความพึงพอใจ​ของลูกค้าต้องมาก่อน​ เมื่อหันไปหาโรงเรียนทางเลือกอย่างโรงเรียนอินเตอร์​ ซึ่งในช่วงของปฐมวัยจนจบระดับประถมศึกษา​ เน้นการเรียนแบบ​ child center นั่นคือแบบบูรณาการ​ที่เราคุ้นเคย​ การเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็ก บางโรงเรียนการบ้านเป็นแบบ​ optional คือส่งหรือไม่ส่งก็ได้​ กลับกลายเป็นทำให้เด็กขาดวินัยอย่างรุนแรง สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เด็กในยุค​ ​4.0 กลับกลายเป็นการบ่มเพาะความเปราะบาง​ทางด้านอารมณ์​ ขาดวินัย​ ไร้ความพยายาม​ ไม่มีความอดทน​ สิ่งต่างๆ​ เหล่านี้​ไม่สามารถ​ทำให้เขาเติบโตในยุคของการแข่งขันกับเทคโนโลยี​ได้เลย
ดังนั้น​ อย่าให้เขาต้องเผชิญ​ปัญหา​ในขณะที่เขาไม่สามารถแก้ไขนิสัยได้​ เราซึ่งเป็นพ่อแม่​ ผู้ปกครอง​ เป็นผู้ที่วางกรอบให้​ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการตีกรอบ​ วางให้เขาอยู่ในระเบียบวินัย​ ใส่ทักษะของการรอคอย​ ปล่อยให้เรียนรู้ที่จะผิดหวัง​ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม​ สร้างภูมิต้านทานให้เขาได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงในเวลาที่เขาต้องเดินโดยไม่มีไหล่คุณให้เกาะ..
#เรามีสิทธิเลือกเส้นมางให้ลูก
#เลือกผิด= เหนื่อยเพิ่มขึ้น
#เลือกถูก= อนาคตที่ดีของลูกเรา
#สถาบันคิดสแควร์

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

Do you know me?
Have you ever heard my name?
Have you ever seen me?
I think some of you have heard my name for 3 months. I would like to introduce myself that I am a kind virus with white sphere, yellow protein coated with lipid and spikes as crowns as my name. I am as small hundredth as bacteria so the scientists need to use electron microscopes to see me.
why I can go around the world quickly (pandemic)?
When I go inside your body, I takes 3 days that you have not any symptoms. Arter that stage the disease common symptoms include fever, cough and shortness breath occurs.Not only the symptoms of the disease takes time but also there are 4 out of 5 who are attacked but have no symptom. In that group of they can be the accidentally carriers.
I come out with the patients’ droplets produced by coughing, sneezing and or talking.I can survive on any surfaces up to 72 hours, people may become infected by touching that surfaces and then touching their bodies.
Human body is the right habitat (house) to grow cause there are lots of food to have, warm to live. So I can duplicate (double) amounts of my new bodies there, my favourite place is red blood cell which normally hold oxygen to our whole body from lung. When I get there your red blood cell called`Hemoglobin` is blocked so your respiratory (breathing) system is failured.
Now I think it’s all about me. Next time I will tell you more about the things that make me leave and how to far away from me….
See you then..

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

สถานการณ์​ปัจจุบัน​เป็นที่ทราบกันแล้วว่าโลกของเราอยู่ในภาวะที่มีการระบาดของโรค​ COVID 19​ ก่อนหน้านี้ประเทศไทย​ถือว่าเป็นประเทศ​ที่สามารถรับมือกับภาวะการระบาดของโรคอยู่ในลำดับต้นๆ​ จนกระทั่งเมื่อสายของวันนี้​ ที่มีข่าวของการเสียชีวิต​ของผู้ป่วย​ COVID​ ​19​ ทำให้เกิเความตื่นตระหนก​กันมากขึ้น
จากเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น​ หากได้ตามข่าวจะพบว่า​ สถานการณ์​การควบคุมโรคระบาดของจีน​มีแนวโน้มที่ดีขึ้น​ มีจำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆ​ แต่ในทางกลับกัน​ การระบาดในประเทศ​ต่างๅ​ กลับมีอัตราการแพร่ระบาดที่สูงขึ้น​ เราอาจจะต้องทบทวนเรื่องการจัดการที่แตกต่างกัันระหว่างจีนกับเราสักหน่อยมั้ย​ เพราะเรื่องของยา​รักษา​ หมอบ้านเราคิดได้ก่อนจีนซะอีก​
คราวนี้​มาพิจารณา​ความแตกต่างของการจัดการมันแตกต่างกัน​ ที่ทำให้ประเทศจีนสามารถ​ควบคุมการแพร่ระบาด​ได้​ เนื่องจากประเทศ​จีนเป็นสาธารณรัฐ​ซึ่งทุกคนอยู่ภายใต้กฎและเงื่อนไขเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ​ ทั้งสิ้น​ หลังจากการแพร่ระบาด​อย่างหนักประเทศ​จีนสั่งปิดประเทศ​ งดการเดินทางเข้า-ออก​ นอกจากนี้แล้วหลายๆ​ มณฑลที่มีการแพร่ระบาด​ ก็ถูกห้ามการเดินทางเข้า-ออก​ จากพื้นที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน​ การเดินทางออกจากบ้านจะออกจากบ้านได้อาทิตย์​ละ​2 วันเท่านั้น​ และการออกจากเคหะสถานต้องมีการสวมหน้ากาก​อนามัยเท่านั้น​ หากไม่สวมหน้ากาก​อนามัยก็ไม่สามารถ​ออกจากบ้านได้​ นอกจากนี้แล้วโรงงานอุตสาหกรรม​หลายๆ​ แห่งที่ถูกย้ายฐานการผลิต​ไปยังประเทศ​จีน​ (เนื่องจากประเทศจีนมีทั้งวัตถุดิบและแรงงานที่มีราคาถูก)​ มีกฏว่าจะสามารถเดำเนินการผลิตได้ก็ต่อเมื่อ​พนักงานสวมหน้ากาก​อนามัยในการทำงานทุกคนและทุกวัน​ ในขณะที่บ้านเรา​ การเดินทาง​เข้า-ออกเป็นอิสระ​ ไม่ว่าคุณจะไปประเทศ​กลุ่มเสี่ยงสักกี่ี่รอบ​ คุณก็สามารถเดินผ่านเข้า​ ต.ม. ได้ง่ายดายเกินไป และคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวจึง​ ซึ่งเกิดเป็นความประมาท​ (​เช่นเดียวกับเรื่องฝุ่น​ ซึ่งมันยังไม่ได้หายไปไหน
​ แต่เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเดือดร้อนแล้วในวันนี้​ จริงๆ​ แล้วมันอยู่ในทางเดินหายใจของคนกรุงเทพทุกวัน​ แล้วมันค่อยๆ​ทำให้ระบบภูมิต้านทางของเราลดลงเรื่อยๆ)​ เมื่อเปิดข่าวเช้า​ จะได้ข่าวการระบาดเริ่มไปทางซีกตะวันตก​เพิ่มขึ้น​ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่ามันไกลตัวเราออกไปแล้ว ยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่​ละเลยและประมาท​ ร่วมกับการขาดสำนึกของการอยู่ร่วมกัน​ ยิ่งทำให้การแพร่ระบาด​ของโรคถูกบิดเบือนไป​ รวมกับความไม่มีประสิทธิภาพ​ในการทำงานของภาครัฐที่มีการปล่อยผ่านนักท่องเที่ยวกลุ่มเสี่ยงกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า​ เข้ามาตามด่านต่างๆได้อย่าง่ายดาย​
หากเราไม่ร่วมด้วยช่วยกันสอดส่องดูแล​ ทั้งตัวเราเอง​ และคนใกล้ชิด​ ไม่ให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มเสี่ยง​ เราจะกลายเป็นภาระให้กับหมอที่ปกติก็แทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัวอยู่แล้ว​ ให้ความยุติธรรม​กับหมอ​ กับ​ พยาบาล​ ที่เค้าไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดินทางสุดหรรษา​ของคุณเลย​ แต่เค้ากลับต้องเป็นด่านหน้ารับเชื้อต่่อจากคุณทั้งหลาย​ เพื่อ………. เพียงเพราะ…………
#อย่าเห็นแก่ตัว..
#อย่าเป็นภาระให้สังคม
#เริ่มจากดูแลตัวเองเราจะผ่านมันไปได้
#ด้วยความห่วงใย

#สถาบันคิดส์สแควร์

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

เนื่องจากครูมีโอกาสได้เข้าไป​เป็น​ out source ของโรงเรียนหลาย​ๆ​ แห่ง​ ก็จะได้เห็นวัฒนธรรม​การดูแลเด็กในแต่ละโรงเรียน​ การปฏิบัติ​ต่อผู้ปกครอง​ การให้คำปรึกษา​ การเรียนการสอน​ นโยบาย​ ของแต่ละโรงเรียนที่มีความแตกต่างกัน​
ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้การเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียน​ ทำให้ครูต้องปรับการเรียนการสอนแปรผันตามความพร้อมของเด็ก ไม่ใช่ว่าเด็กมีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน​ แต่เด็กได้รับการฝึกทักษะกล้ามเนื้อที่แตกต่างกัน​
เด็กแต่ละคนมีความเป็นปัจเจก​บุคคล​ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เค้าเติบโตมาตั้งแต่เค้าเกิดมา​ เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่คุยเล่นกัน​ มีอะไรคุยกัน​ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันบนโต๊ะอาหาร​ โดยทิ้งทุกอย่าง​ มีแต่การสนทนากัน​ จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าความของความสุขเกิดขึ้นจริง​ๆ​ บ้านคือบ้าน​ ไม่ว่าเค้้าจะมีปัญหาสักแค่ไหน​ เค้าจะกลับมาตรงนี้​ ตรงที่มีคนฟังเค้า​ ในทางกลับกัน ถ้าเค้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนไม่พูดไม่จากันก้มหน้าก้มตา​ online อยู่กับสิ่งที่ตัวเองสนใจ​ เขาก็จะเติบโตมาแบบไม่ได้รู้สึกว่าการปฏิสัมพันธ์​กับคนรอบข้างเป็นเรื่องปกติ​ กลายเป็นเด็กเก็บตัว​ คุณพ่อคุณแม่จะไม่มีทางได้รับรู้ว่าเค้ามีความสุข​หรือเค้ามีปัญหาเรื่องอะไร​ เพราะเค้าไม่เคยเรียนรู้ที่จะพูดเรื่องอะไรตอนไหน​ ไม่รู้ว่าจะมีใครฟังหรือไม่​ ในบ้านเองเขายังไม่รู้จะพูดกับใครเลย​ มันกลายเป็นการสร้างกำแพงขึ้น​เมื่อเขาโตขึ้น​ เขาไม่ได้ถูกสอนให้เข้ากลุ่ม​เพื่อน​ เพราะคุณเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เค้าได้เรียนรู้การอยู่แบบทางเดียว​คือการสื่อสารผ่าน​ social​ ที่เค้าไม่เคยเห็นเลย
อย่าเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้เค้า​ ก่อน​ เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดของเค้าเพื่อให้เค้าได้เติบโตอย่างมีความสุขไม่ว่าเค้าจะเจออุปสรรค​ใดๆ​ อย่างน้อยคุณยังเป็นสิ่งแวดล้อมที่ทำให้้เค้ารู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้ง​ และเป็นกำลังใจให้เค้าได้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง​ ไม่มีโรงเรียนไหนดีเท่าโรงเรียนพ่อแม่หรอก…. เชื่อสิ

Tags : , , , , , , , , , , , , , , | add comments

มีกระแสมากมายเรื่องการเรียนพิเศษ​ มีทั้งนักวิชาการ​ นักวิจัย​ จิตแพทย์เด็ก​ ออกมาแสดงความคิดเห็น​ต่างๆ​ แต่โดยรวมไม่เห็นด้วยกับการเรียนพิเศษ
หากกล่าวถึงเรื่องการเรียนพิเศษ​ในบ้านเรา​ ต้องแยกออกเป็นกลุ่มย่อยๆ​ ออกเป็นกลุ่มๆ โดยหากแยกตามวัย​แล้ว​ เด็กเล็กก็ไม่มีความจำเป็น​ที่จะต้องเรียนพิเศษ​ เพราะไม่มีเรื่องที่ยากจนพ่อแม่ผู้ปกครองสอนเองไม่ได้​ แต่ในกลุ่มเด็กที่โตขึ้น​ ในช่วงของประถมปลาย​ ความจำเป็นเกิดขึ้นกับเด็กที่มีปัญหาการเรียนในชั้นเรียน​ กับเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานได้เรียนในโรงเรียนรัฐที่มีคุณภาพ​ ซึ่งหมายความถึงครูที่สอนในโรงเรียนดังกล่าวย่อมถูกคัดกรองอย่างมีคุณภาพ​เฉกเช่นเดียวกับเด็กที่ต้องฝ่าด่านการสอบคัดเลือกอย่างดุเดือดเข้มข้นไม่แพ้กัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้​ เกิดเนื่่องจากคุณภาพของโรงเรียนในบ้านเราไม่ได้อยู่ในมาตรฐาน​เดียวกันทั้งหมด​ คุณภาพของครูผู้สอนก็เช่นกัน​ หากเลือกได้ไม่มีใครอยากเป็นครูเลย​ ทำให้ครูในเครื่องแบบในปัจจุบัน​ หลังจากสอบบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว​ ถ้าไม่ได้อยู่ในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง​ ก็แทบไม่ได้คิดวิธีใหม่ๆในการสอนเลย​ สอนตามหน้าที่ให้หมดวัน..เด็กจะรู้เรื่องหรือไม่ก็แล้วแต่ พอคะแนนสอบออกมาสอบตก ครูก้อบอกให้ไปเรียนพิเศษ..เรียนกับครูก็จะได้คะแนนเยอะหน่อย แต่ถ้าเรียนที่อื่นคะแนนก้อตามความจริง..คิดเพียงแต่จะหารายได้เสริมจากการสอนพิเศษ​ให้เด็กมาเรียนกับตน จิตสำนึกของความเป็นครูเพื่อทำให้ลูกศิษย์​มีความรู้เหมือนครูในสมัยก่อนหายไป​ ซึ่งทำให้ผ้ปกครองทุกวันนี้ต้องหาที่เรียนพิเศษ..ไม่ใช่ความผิด ของครูแต่มันเป็นที่ระบบการศึกษาตั้งแต่สอบคัดเลือกเข้ามาเลยเพราะสอบราชการยากมาก ต้องติวจะมีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อให้ผ่านการบรรจุ ซึ่งเขาถือว่ามันคือการลงทุน​ การเรียนพิเศษ​ในคนเอเชียกลายเป็นเรื่องปกติ​ ไม่ใช่เพียงแค่คนไทย​ เหตุผลเพียงเพราะ​ ใครๆก็อยากได้ในสิ่งที่ดีกว่าทั้งนั้น…
..#ฝากไว้สักนิด.. การเป็นครูไม่แค่สอนให้หมดวัน แต่เราต้องสอนเค้าในทุกเรื่องเพื่อให้เค้าเติบโตไปมีความรู้และเป็นคนดี..

Tags : , , , , , , , , , , , , , | add comments

            ในเดือนหน้าจะเป็นช่วงของการเปิดปีการศึกษาใหม่ของเด็กโรงเรียนไทย ซึ่งโดยปกติจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มากนัก แต่มีอยู่วัยหนึ่งที่เด็กจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบก้าวกระโดด นั่นคือการเข้าสู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งเรื่องการนอนกลางวัน การช่วยเหลือตนเอง การเรียนในชั้นเรียนที่ใหญ่ขึ้น แต่โดยส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนต่างๆ จะเปิดเรียนภาคฤดูร้อนเพื่อให้เด็กๆ ได้ปรับตัวก่อนที่จะเปิดปีการศึกษาใหม่อย่างเต็มตัว

            ปัจจุบันนี้โรงเรียนประถมมีอยู่หลากหลาย แต่ก็จะมีแนวทางหลักๆ เพียง 2 – 3 แนว คือ แนวเร่งเรียน (แนวโรงเรียนคาทอลิค)  , โรงเรียนในแนวบูรณาการ (แนวสาธิต) และสุดท้ายเป็นแนวสองภาษา (Bilingual) ซึ่งแต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างกัน มีข้อเด่นข้อด้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ปกครองว่าไปตรงกับแนวทางหรือหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนใด สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองเลือกให้กับบุตรหลานนั้น เป็นสิ่งที่แต่ละครอบครัวคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรหลาน ของตน แต่เรามักหลงลืมไปว่า คนเรียนคือตัวบุตรหลาน เขาควรได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในชีวิตการเรียน ซึ่งต้องใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันอยู่ที่นั่น การเลือกโรงเรียนของพ่อแม่ผู้ปกครองนั้น จะต้องรู้ถึงแนวทางการเรียนการสอนว่าเหมาะกับบุตรหลานหรือไม่ เพราะไม่มีใครรู้จักนิสัยลูกของเราได้เท่าพ่อแม่ เด็กส่วนใหญ่หลายๆ คนไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนสถานที่เรียน เขาสามารถปรับตัวให้เข้าได้กับทุกๆ สถานที่ แต่เด็กหลายๆ คนที่มีพี่เลี้ยงคอยดูแลตลอดเวลาที่เค้าลืมตา หรือพ่อแม่ผู้ปกครองที่ตามใจ โดยที่บุตรหลานไม่เคยต้องหยิบจับหรือทำอะไรด้วยตัวเอง จะไม่เห็นความสำคัญของเรื่องเวลา เพราะไม่เคยทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ต้องเร่งรีบ เพราะยังไงก็มีคนทำให้ แต่ชีวิตในโรงเรียนที่มีเวลาในแต่ละคาบที่จำกัด เขาไม่สามารถมีผู้ติดตามอย่างพี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ ที่คอยเข้าไปดูแลได้ ทำให้เขาทำทุกอย่างได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือใช้เวลามากกว่าเด็กคนอื่นๆ ทำให้ถูกตำหนิ ว่ากล่าวเป็นประจำ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะเกิดปัญหา การไม่อยากไปโรงเรียน  การไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะมักถูกครูดุ หรือถ้าร้ายกว่านั้น เขาจะเป็นเด็กที่ไม่สนใจในสิ่งที่ครูพูด กลายเป็นเด็กดื้อเงียบ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็จะไม่ทำ อย่างไม่มีเหตุผล เอาอารมณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีปัญหาของการเรียนรู้ แต่มีปัญหากับทัศนคติ และพฤติกรรมในโรงเรียน และปัญหานี้จะพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขได้             เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นทุกปี แต่พ่อแม่ผู้ปกครองคิดว่าซักวันเด็กจะปรับตัวเข้ากับโรงเรียนได้เอง ต้องอดทน แต่ไม่เคยมีเด็กคนไหนกลับมาเป็นเด็กดีของพ่อแม่ และครูได้อีกเลย ดังนั้นอย่าให้เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเด็กที่ไม่ได้มีปัญหา แต่เราเป็นคนยัดเยียดปัญหาให้เค้า โดยพาเค้าไปในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับตัวเค้า หรือเราไม่ได้เตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจกับเค้าว่า เค้าโตขึ้น

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments

            พูดถึงวิชาคณิตศาสตร์แล้ว เด็กๆ หลายคนไม่ชอบเท่าไรนัก แต่มันเป็นหนึ่งในวิชาหลักที่พวกเค้าจะต้องเรียนไปจนกว่าจะจบมัธยมต้น แต่กลับกลุ่มเด็กอีกหลายๆ คนที่เป็นกลุ่มของเด็กที่เรียกว่ามี sense ทางคณิตศาสตร์จะวิ่งเข้าใส่ ไม่ว่าโจทย์จะพลิกแพลงยังไง รูปแบบไหน เขาเหล่านี้ไม่เคยถอย คณิตศาสตร์เป็นอาหารสมองอันโอชะของเขาเหล่านั้น จากสถิติหลายๆ สำนักมักพบว่ากลุ่มนักเรียนที่เรียนคณิตศาสตร์ดี จะมีคะแนนวิทยาศาสตร์ดีด้วยเช่นกัน เด็กในกลุ่มนี้จะมีความโดดเด่นในการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีระเบียบแบบแผน มากกว่าเด็กปกติ โดยปกติเราจะพบเด็กที่มี sense ทางคณิตศาสตร์ไม่มากนัก

            สอนเด็กที่ไม่มี sense คณิตศาสตร์ให้มี sense ได้หรือไม่ ต้องบอกก่อนว่าการที่บุตรหลานของเราไม่มี sense ทางคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องไม่ทำให้เค้าเกิดทัศนคติทางด้านลบกับคณิตศาสตร์ ค่อยๆ ให้เค้าได้เรียนรู้คณิตศาสตร์รอบตัวผ่านประสบการณ์จริง ถึงแม้เด็กที่มี sense ทางคณิตศาสตร์หากเจอครูที่ทำให้ทัศนคติทางคณิตศาสตร์เสียไป ก็อาจจะทำให้เขาเสียเวลาอยู่นานกว่าจะค้นพบตัวตนของตัวเอง การฝึกฝนเป็นวิธีหนึ่งที่เพิ่มทักษะทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กๆ ทุกคน ยิ่งฝึกมากความถนัดหรือทักษะก็มากขึ้นตามไปด้วย อาจจะจริงที่คนที่ไม่มี sense อาจต้องใช้เวลามากกว่า หรือแบบฝึกหัดที่มากกว่า แต่เราก็สามารถฝึกให้เด็กทุกคนมีกระบวนการคิดให้เป็นระบบ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นอย่ากังวลว่าบุตรหลานจะสู้กับเด็กคนอื่นไม่ได้ ความถนัดของคนแต่ละคนแตกต่างกัน คนทุกคนไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนกัน หรือเก่งเท่ากัน สิ่งที่สำคัญคือ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่เปรียบเทียบบุตรหลานของตนเองกับเพื่อนคนอื่นๆ มันเป็นเหมือนดาบ 2 คม ถ้าเค้าอยู่แนวหน้าของห้อง เขาจะไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่หากเค้าอยู่แนวกลางค่อนหลัง เค้าจะรู้สึกว่าเขาสู้ใครไม่ได้ และไม่มีความภูมิใจในตัวเอง (ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ สร้างขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก) หากเขาถูกทำลายด้วยคะแนน หรือวิชาที่เขาไม่ชอบ เขาจะไม่มีทางค้นหาตัวเองเจอ ว่าเขาทำอะไรได้ดี   ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองทำได้คือ การให้กำลังใจในสิ่งที่เค้าทำเต็มที่ โดยไม่ควรคำนึงถึงผลว่ามันจะออกมาอย่างไร และคอยสังเกตในสิ่งที่เขาทำได้ดี และส่งเสริมทางด้านนั้นๆ (ไม่ใช่เกมส์ online) เพราะในกระบวนการผลิตสินค้าแต่ละชนิดไม่ได้ใช้ผู้เชี่ยวชาญเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น เช่น เสื้อจะต้องมีทั้ง designer , ช่างตัด , ช่างปัก ซึ่งในแต่ละทีมไม่ได้ใช้พนักงานคนเดียวกันทำเลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะฉนั้นความถนัดหรือความชอบ ของเด็กแต่ละคน มันคือ sense ในแต่ละด้านที่เค้ามีแตกต่างกันไปเพียงเท่านั้นเอง…..

Tags : , , , , , , , , , , , | add comments

            ช่วงเวลาของการสอบคัดเลือกผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการสอบเด็กเล็ก (เครือสาธิต) และเด็กโต (มัธยม) เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดความผิดหวังกับหลายๆ ครอบครัวในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง   เหตุการณ์ที่น่ากังวลคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก ที่สอบแข่งขันเพื่อเข้าโรงเรียนสาธิต ซึ่งมีอัตราการแข่งขันสูงมาก อัตราการแข่งขันเฉลี่ย 1:30 เด็กหลายๆ คนต้องติวเพื่อสอบเป็นเวลา 1 ปีเต็ม โดยไม่ได้หยุดแม้กระทั่งวันอาทิตย์ แล้วการสอบตัวเค้าก็มีความรู้สึกว่าทำได้ ข้อสอบไม่ได้ยาก ทำให้เค้ามีความหวังว่าเค้าต้องติดแน่ๆ หลังจากออกจากห้องสอบ พ่อแม่ผู้ปกครองก็จะคอยถามว่า เป็นยังไง ทำข้อสอบได้มั้ย เค้าก็ตอบตามความรู้สึกว่าเค้าทำได้ ต่างฝ่ายต่างมีความหวังว่าจะติด แต่เมื่อประกาศผลการคัดเลือก กลับไม่มีชื่อเค้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กหลายๆ คนคือ ทำไมเค้าไม่ติด ในขณะที่เพื่อนติด แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ความไม่มั่นใจที่จะไปสอบในที่ต่างๆ อีก ในขณะที่หลายๆ โรงเรียนมีเพียงอนุบาล เด็กหลายๆ คนถูกบั่นทอนความมั่นใจที่เคยมี จากการสอบเพียงครั้งเดียวตั้งแต่วัย 5 ขวบ แล้วช่วงวัยต่อจากนี้ไปเขาจะต้องดำเนินต่อไปอย่างไร เพราะต่อจากเด็กเล็ก จะต้องมีการสอบคัดเลือกทุกๆ 6 ปี

            แต่ในวัยอนุบาลควรหลีกเลี่ยงเพราะเค้าเล็กเกินกว่าที่จะอธิบายให้เค้าได้เข้าใจถึงอัตราการแข่งขัน แต่สิ่งที่สำคัญคือ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นผู้ที่มองบุตรหลานออกว่าสามารถยอมรับกับการไม่ได้คัดเลือก หรือไม่ได้สนใจกับผลที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ ถ้าไม่ ควรหลีกเลี่ยงการสอบแข่งขันที่มีอัตราการแข่งขันสูงขนาดนั้นดังนั้นการบ่มเพาะความรัก ความเอาใจใส่บุตรหลาน เป็นสิ่งสำคัญ ต้องให้เค้าได้รู้ว่าไม่ว่าเค้าจะผิดพลาดอย่างไร พ่อแม่ยังคงอยู่เคียงข้างเค้าเสมอ การสอบเข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่จะทำงานโดยมีเวลาจำกัด การมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ และทำสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีที่สุด ผลจะออกมาเป็นอย่างไรไม่สำคัญ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นคนสร้างภูมิด้านจิตใจให้เค้าให้แกร่งขึ้น เพื่อพร้อมรับกับภาวะของการแข่งขันที่จะต้องมีผู้ที่ถูกคัดออก

Tags : , , , , , , , , , , , , | add comments

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ของการสอบ O-Net ของนักเรียนชั้น ป.6 และ ม.3 ผู้ปกครองหลายๆ คนอาจยังมีความไม่เข้าใจอยู่บ้าง  เรามาดูว่าการสอบ O-Net เป็นการสอบเพื่ออะไร และส่งผลอย่างไรกับใครบ้าง

ก่อนอื่นเรามารู้จักคำว่า O-Net กันก่อน ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก  Ordinary National Educational Test  ซึ่งเป็นข้อสอบกลางที่ออกมาจาก สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) โดยจะมีการสอบ 8 กลุ่มสาระ ผลการสอบเพื่อวัดสัมฤทธิผลของการเรียนการสอนของโรงเรียนเป็นหลัก โดยคะแนนของเด็กแต่ละคนจะมีการเปรียบเทียบกับโรงเรียนของตนเอง โรงเรียนในเขตพื้นที่ เทียบขนาดของโรงเรียน เทียบคะแนนระดับจังหวัด  และภูมิภาค หลักๆ แล้วการจัดการสอบเพื่อจุดประสงค์หลักเพื่อการวัดมาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียนมากกว่า ดังนั้นหลายๆ โรงเรียนจึงมีการเรียนเพิ่มโดยมีติวเตอร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงมาสอนให้กับนักเรียน เพื่อให้โรงเรียนจัดอยู่อันดับต้นๆ ของประเทศ  ส่วนหลายๆ โรงเรียนผลของการสอบประเมินที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก ก็ไม่เห็นได้รับการแก้ไข หรือกระตุ้นจากภาครัฐเพื่อให้เด็กมีคุณภาพของการเรียนการสอนมากขึ้น หากผลของการสอบไม่ได้มีผลกับทั้งตัวนักเรียน เนื่องจากการสอบคัดเลือกนั้น การสมัครสอบอยู่ในช่วงเวลาที่ผลสอบยังไม่ออก และการสอบคัดเลือกของโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงนั้น ระดับความซับซ้อนของการสอบในวิชาหลักจะมีความยากกว่าการสอบ O-Net อย่างมาก เด็กในกลุ่มดังกล่าวที่ต้องการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงนั้น จะมีระดับคะแนน O-Net ที่สูงมากใกล้เคียงกันหมด  จึงไม่สามารถนำข้อสอบกลางชุดดังกล่าวมาเป็นตัวชี้วัดได้เลย นอกจากนี้แล้วทางฝ่ายทะเบียนก็ยุ่งยากเกินกว่าที่จะนำคะแนนมามีส่วนในการคัดเด็กด้วย

ดังนั้นหากการสอบระดับชาตินี้ ไม่ได้สะท้อนปัญหาของการเรียนการสอนในโรงเรียน  ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดให้กับภาครัฐว่าโรงเรียนบางโรงจำเป็นต้องมีบุคลากรครูที่ต้องมีการอบรมเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม ก็หยุดใช้งบประมาณส่วนนี้ ที่ให้ผู้บริหารกระทรวงเดินทางต่างประเทศเพื่อดูงานการศึกษาในหลายๆ ประเทศอย่างไร้ประโยชน์ พร้อมกับ งบประมาณที่ใช้ในการจัดสอบ มาพัฒนาเป็นอุปกรณ์ด้านการศึกษาในเรื่องอื่น เช่นการซื้ออุปกรณ์ในห้องทดลอง หรือสื่อการเรียนการสอนที่มีประโยชน์กับการเรียน ยังดีกว่าการทุ่มงบประมาณไปกับข้อสอบระดับชั้นละ 8 ฉบับกับผลที่เป็นเพียงกระดาษ 2 แผ่น ที่ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพการเรียนการสอนจากทางโรงเรียนอย่างแท้จริง

Tags : , , , , , , , , , , , | add comments

จากที่เคยกล่าวถึงโรงเรียนในแนวต่างๆ  มาแล้ว คราวนี้เราลองมาสอดส่องโรงเรียนไทยที่มีทางเลือกหลากหลายให้กับพ่อ แม่  ผู้ปกครองในปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ค่าเทอมของโรงเรียนอินเตอร์มีอัตราที่สูงลิ่ว ซึ่งมีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่สามารถส่งเสริมบุตรหลานให้เรียนได้  ประกอบกับโรงเรียนหลายๆ โรงเรียนมีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบ  Gifted ,EP และภาคปกติ  เรามาดูรายละเอียดของการเรียน EP ว่าแตกต่างจากภาคเรียนปกติอย่างไร

พ่อแม่ ผู้ปกครอง ก็หวังว่าการส่งบุตรหลานเรียน EP  จะทำให้บุตรหลานได้มีความเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยอาจรู้เท่าไม่ถึงว่าแนวการเรียนการสอนเป็นอย่างไร โดยทั่วไปแล้ว โรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนแบบ  EP จะมีการเพิ่มการเรียนการสอนวิชา  Math , Science , Social  Study  ซึ่ง ผู้ปกครองหลายๆ คนที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมเด็กก่อนที่จะเข้าเรียนในแนว EP  ส่งบุตรหลานเรียนอนุบาลในแนวไทย เข้าใจว่าเด็กๆ  จะสามารถปรับตัวได้เอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กไม่สามารถปรับตัวได้เลย เพราะหนังสือที่ใช้ส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ หลายๆ โรงเรียนเลือกใช้หนังสือจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหนังสือที่ใช้เป็นหนังสือที่ดีมาก  แต่เราต้องอย่าลืมว่าภาษาอังกฤษของประเทศสิงคโปร์เป็นภาษาแม่ก็ว่าได้ ดังนั้นภาษาอังกฤษที่ใช้เป็นแบบ  EFL  (English First  Language) ซึ่งเด็กไทยภาษาอังกฤษไม่ใช่ทั้งภาษาแม่และภาษาทางราชการ ทำให้เด็กเกิดปัญหา เพราะไม่ได้ถูกปูพื้นฐานมาตั้งแต่ต้น พ่อแม่ ผู้ปกครองเองบางคนที่ไม่ติดเรื่องภาษา ก็ต้องติดกับเรื่องของการอธิบาย เพราะเค้าใช้วิธี   Singapore  Math ทำให้เกิดปัญหากับการเรียนคณิตศาสตร์

หลายๆ ครอบครัวช่วยบุตรหลานโดยการส่งให้เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพิ่ม  แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้ทำให้บุตรหลานเข้าใจการเรียนคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น  เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะการเรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทย มุ่งเน้นให้เด็กเรียนไวยากรณ์  ท่องศัพท์เพื่อให้รู้หน้าที่ของคำ  แต่การเรียนคณิตศาสตร์จะมีศัพท์เฉพาะทาง เช่น perpendicular,  denominator, parallel, numerator, reciprocal เป็นต้น  กลายเป็นปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

ดังนั้นการเลือกโรงเรียนนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องมีการวางแผนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาให้กับบุตรหลาน  แต่หากเด็กเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว ควรช่วยเค้าให้ถูกทาง เลือกเรียน Singapore Math เพื่อให้เกิดความเข้าใจวิธีการแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้แล้วเพื่อไม่ให้ปัญหาค่อยๆ พอกพูนจนไม่สามารถแก้ไขได้ ร่วมกับการที่เวลาที่สอนในโรงเรียนปกติ 8 วิชา เพิ่มอีก 3 วิชาโดยมีเวลาเรียนเท่าเดิม กลายเป็นว่าภาษาไทยก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ วิชาการอะไรก็ไม่ได้สักด้านเดียว……

Tags : , , , , , , , , , , , , | add comments