ตอนนี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์​กันในสังคมคงหนีไม่พ้นเรื่องของการเรียนออนไลน์​ เนื่องจากสถานการณ์​การแพร่ระบาดทำให้การเปิดเทอมของเด็ก​ต้องยืดเยื้อ​ออกไป​ จริงที่ว่าการเรียนของเด็กๆ​ ไม่ควรหยุดชะงัก​ แต่การเรียนออนไลน์​ของเด็ก​ ต้องพิจารณา​ถึงวัยของเด็กด้วย​ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์​ที่ไหนๆ​ จะเป็นการเปิดสอนในระดับมหาวิทยาลัย​ทั้งสิ้น​ หากเป็นในระดับปฐมวัย​จนถึงมัธยม​จะเป็นการเรียนแบบ​ home school ซึ่งเป็นการนำหลักสูตร​จากประเทศ​ต่างๆ​ มาเป็นแนวการเรียนการสอน​ โดยพ่อแม่​ผู้ปกครอง​ เป็นเสมือนครูผู้สอน
การเรียน​การสอนออนไลน์​ ยิ่งเด็กยิ่งเล็ก​ ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก​ เนื่องด้วยวัย​ ที่ทำให้เรื่องของสมาธิที่ที่จดจ่ออยู่กับเรื่องบางเรื่องนานๆ​ เป็นไปได้ยาก​ นอกจากนี้แล้ววิชาบางวิชาอย่างคณิตศาสตร์​ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะขึ้นเรื่องใหม่ๆ​ ให้กับเด็ก​ เช่น​ถ้าเด็กกำลังเริ่มที่จะเรียนการคูณเลข​สองหลักคูณสองหลัก​ การทำความเข้าใจ​กับเด็กให้มีความเข้าใจ​ ต้องมีการ​ ​recheck กันหลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเด็กมีความเข้าใจจริงๆ​ ถึงจะให้การบ้านได้​ แล้วลองนึกภาพของการสอนเรื่องการวัดมุมกันนะคะ​ ขนาดสอนกันแบบเห็นกันเป็นตัวเป็นตน​ยังต้องใช้เวลาเลย​แล้วนึกสภาพการเรียนออนไลน์​ ถ้าเป็นการเรียนแบบกลุ่ม​ ไม่มีทาง ที่ทักษะเด็กแต่่ละคนจะเท่ากันได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในวัยเดียวกันก็ตามเพราะฉะนั้นการเรียนออนไลน์ไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคนและไม่ใช่ทุกวิชาที่จะสามารถสอนออนไลน์ได้
ดังนั้นการเรียน​ออนไลน์​ในช่วงนี้ของเด็กเล็กเป็นเพียงช่วงเวลาที่รอสถานการณ์​ของการแพร่ระบาด​ให้คลี่คลายเท่านั้น​ แต่การที่การศึกษา​ในช่วงของปฐมวัยจนถึงประถมน้ัินคงไม่อาจถูก​ disruption ด้วยระบบออนไลน์​ได้​ด้วยวัยและความพร้อมของเขา​ นอกจากนี้แล้วเด็กในวัยดังกล่าวไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่กับการสื่อสารทางเดียว​ เค้าควรได้มีการเรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัส​ให้ครบทั้ง​ ​5 และมีการฝึกทักษะต่างๆผ่านระบบประสาท​สัมผัสดังกล่าว​ เพื่อก่อให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์​ และเพื่อค้นหาความสามารถ​ และความถนัดต่อไป…
#เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
#สถาบันคิดสแควร์

Tags : , , , , , , , , , , , | add comments

Do you know me?
Have you ever heard my name?
Have you ever seen me?
I think some of you have heard my name for 3 months. I would like to introduce myself that I am a kind virus with white sphere, yellow protein coated with lipid and spikes as crowns as my name. I am as small hundredth as bacteria so the scientists need to use electron microscopes to see me.
why I can go around the world quickly (pandemic)?
When I go inside your body, I takes 3 days that you have not any symptoms. Arter that stage the disease common symptoms include fever, cough and shortness breath occurs.Not only the symptoms of the disease takes time but also there are 4 out of 5 who are attacked but have no symptom. In that group of they can be the accidentally carriers.
I come out with the patients’ droplets produced by coughing, sneezing and or talking.I can survive on any surfaces up to 72 hours, people may become infected by touching that surfaces and then touching their bodies.
Human body is the right habitat (house) to grow cause there are lots of food to have, warm to live. So I can duplicate (double) amounts of my new bodies there, my favourite place is red blood cell which normally hold oxygen to our whole body from lung. When I get there your red blood cell called`Hemoglobin` is blocked so your respiratory (breathing) system is failured.
Now I think it’s all about me. Next time I will tell you more about the things that make me leave and how to far away from me….
See you then..

Tags : , , , , , , , , , , , , , , , , , , , | add comments


#นี่เราอยู่ระหว่างสงครามรึปล่าวเนี่
จากเหตุการณ์​ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วต่อเนื่องมาเรื่อยๆ​ เราคงต้องย้อนกลับมาดูกันหน่อยมั้ยว่า​ โครงสร้างทางสังคมของเรามันผิดเพี้ยนไป​ ลักษณะเด่นของความเป็นคนไทยเป็นคนอ่อนน้อม​ ถ่อมตน​ รู้จักผิดชอบชั่วดี​ มีน้ำใจ​ เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ​ แต่หลังจากเหตุการณ์​ข่าวต่างๆที่ได้ยินอย่างต่อเนื่อง​ ทั้ง​ฆาตกรต่อเนื่อง​ นายสมคิด​ , ผ.อ.​ กอล์ฟ​ คดีปล้นทอง​, ไอซํืหีบเหล็ก​ และล่าสุดนายทหาร​คลั่งที่โคราช
เหตุการณ์​ต่างๆ​ ที่เกิดขึ้น​ เป็นแนวโน้มของสังคมที่ใช้ความรุนแรง​โดยขาดความยั้งคิด​ ในแต่ละคดีที่เกิดขึ้น​ เกิดจากความโลภ​ ใช้เงินเกินรายได้ที่มี อยากได้รับการยอมรับนับหน้าถือตา ประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องความสุขของตนในการใช้ชีวิต​หรูหราบนสังคมออนไลน์​ โดยการกู้หนี้ยืมสิน​ เมื่อถูกทวงหนักเข้า​ก็หาทางออกโดยการก่อคดีปล้น​ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้น​
คดีของไอซ์หีบเหล็ก​ เป็นอีกคดีสะเทือนใจ​ จากข่าวที่มีผู้หญิง​จำนวนไม่น้อยที่ต้องถุูกฆ่า​ แล้วศพก็ถูกอำพรางโดยการใส่หีบเหล็กทิ้งไว้ในบ่อน้ำในบ้านที่ตนเองอยู่​ โดยที่ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป​ แต่กลับก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ จากคำให้การของคนที่ทำงานกับทางครอบครัวของไอซ์​ อาจวิเคราะห์​ได้ใว่าเค้าขาดการดูแลเอาใจใส่​จากพ่อแม่​ ไม่มีใครคอยอบรมบ่มนิสัย​ ประกอบกับการติดยาเสพติด​ ทำให้สมองในส่วนของความรู้จักยั้งคิดหายไป​ ใช้สัญชาตญาณ​ในการดำรงชีวิต​เพียงอย่างเดียว
คดีสุดท้าย​ คือคดีของนายทหารคลั่ง​ เป็นคดีที่สะเทือนใจที่สุด​เพราะผู้ก่อคดี​เป็นคนในเครื่องแบบ​ ซึ่งหน้าที่ของทหารคือป้องกันอริราษฎร์​ศัครู​ แต่ในครั้งนี้​ ทหารเองเป็นผู้หันปลายกระบอกปืนเข้าหาประชาชน​ที่ไม่ได้รู้เรื่อง​ เพียงเพราะคุณคิดว่าคุณอยู่ในโลกของเกมส์ออนไลน์​ โดยที่คุณปล้นอาวุธ​ครบมือ​ พร้อมอุปกรณ์​ป้องกันตัว​ แล้วลงใน​ ​fb​ ประกาศ​ตนว่ามีใครจะกล้าลุยกับคุณมั้ย​ นี่คือผลของจินตนาการ​จากเกมส์ออนไลน์​ที่ออกมาบนโลกของความเป็นจริง​กับคนอายุ​ 32​ ที่มีวุฒิภาวะ​ โศกนาฏกรรม​ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นมันชี้ชัดแล้วว่า​ จินตนาการ​ในเกมส์​ออนไลน์​ การฆ่าเป็นการเก็บแต้ม​ การขโมยอาวุธ​ เพื่อให้การเก็บแต้มมีประสิทธิภาพ​ คงเห็นแล้วนะว่าเกมส์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกแล้ว​ สิ่งที่เกิดขึ้น​.มันเกิดขึ้นกับคนที่มีวุฒิภาวะ​แล้ว​ แต่ถ้าคุณจะยังคงส่งเกมส์​ลักษณะ​นะให้กับบุตรหลาน​ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ​ ก็คงจะมีข่าวอาชญากรรม​เกิดขึ้นไม่ใช่แค่รายวันแล้ว​ คงต้องตามกันเป็นรายชั่วโมง
… ใส่ใจบุตรหลานของตนเองเถอะคะ​ ให้เวลากับเค้า​ อย่าให้เครื่องมือสื่อสารมาแทนทีี่เวลาของครอบครัว​ ที่เหลือจากหลังเวลาเลิกงานที่เหลือไม่ถึง​ 10 ชัวโมง​ มานั่งพูดคุยสารทุกข์สุกดิบ​ เล่าประสบการณ์​ของแต่ละวัน​ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์​ สิ่งที่ลูกทำผิดก็อบรม​ สอนเค้า​ เรื่องการใช้ความรุนแรงต้องสอนลูก หรือให้เค้าได้แสดงความคิดเห็นหากจะมีการเปลี่ยนแปลง​ บางอย่าเล็กๆ​ น้อยๆ​ ให้เค้าได้รู้ว่าเค้าเป็นส่วนหนึ่งและมีความสำคัญ​ในครอบครัว​ แล้วเค้าจะไม่ไปพยายามเป็นคนสำคัญ​นอกบ้าน​ ไม่ไปแสวงหาความรักจากที่อื่น​ ถ้าที่บ้านมีให้เค้าจนเต็ม….
#ในนามสถาบันคิดสแควร์ขอแสดงความเสียใจกับครอบผู้เสียชีวิตในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
#ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานทุกท่านที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องทุกชีวิต
#อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย
#เคารพด้วยหัวใจ
#สถาบันคิดสแควร์

Tags : , , , , , , , , , , , , , | add comments

ครูได้มีโอกาสคุยกับเด็ก​ ม.​ปลาย​ หลายๆ​ คน​ หลาย​ๆ​ ครั้งที่ได้คุยกันเรื่องการเลือกเรียนต่อในมหาวิทยาลัย​ คำตอบที่ได้กลับมาคือ​ การอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ​ ค่านิยมดังกล่าวเกิดขึ้น​ เนื่องจากการที่เด็กมีความรู้สึกว่าการเรียนต่อต่างประเทศ​เป็นการอัพเกรดให้ตนเองเมื่อจบมาจะได้มีเงินเดือนที่สูงกว่าการเรียนในประเทศ​ หรือส่วนใหญ่​ประเมินว่าตนเองจะไม่สามารถ​เข้าเรียนในสาขาวิชาที่ตนเองต้องการในประเทศได้
ที่จริงแล้วการเรียนต่อต่างประเทศ​ที่จะทำให้ได้เงินเดือนที่สูงขึ้นได้​ เพราะการเรียน​ต่อในแบบดังกล่าวเป็นการสอบชิงทุน​ ซึ่งการสอบชิงทุนนั้นจะต้องผ่านการสอบคัดเลือก​ที่เลือกเฟ้นผู้เรียน​ ที่มีความรับผิดชอบ​ในการเรียน​ และะความรับผิดชอบ​ในหน้าที่ของตนเอง​ โดยการเรียนดีอาจเป็นสิ่งเดียวที่เป็นข้อพิสูจน์​ได้ว่าเด็กคนนั้นมีความรับผิดชอบ​ต่อหน้าที่ของตนเอง​ (มาตรฐานของคนไทย)​ เพราะเด็กไทยไม่ต้องรับผิดชอบ​หน้าที่ด้านอื่น​
ส่วนการเรียนต่อต่างประเทศ​ โดยใช้ทุนของตนเอง​ อาจเป็นเพราะลดภาวะการสอบแข่งขันให้กับ​บุตรหลาน..เช่นใน การเรียน​หมอ​ ..คำตอบของเด็กหลายๆ​ คน​ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร​ คำตอบที่เราได้รับจะหนีไม่พ้น​ หมอ​ หรือ​ ครู​ แต่เมื่อเด็กโตขึ้น​ ความอยากเป็นครูจะหายไป​ เหตุผลคือ​ ผลตอบแทน​ และการเป็นที่ยอมรับ​ในสังคม ความเป็นหมอมีมากที่สุดในสังคมไทย​ จึงทำให้เด็กหลายคนรวมทั้งพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอ..ซึ่งการเรียนในสายแพทย์ในเมืองไทย​ แน่นอนจะต้องเรียนในสายวิทย์-คณิต​ แต่ที่มากกว่านั้นคือความเพียร​ ความช่างสังเกต​ การจดบันทึก​ ความมีระเบียบวินัย​ความกระตือรือร้น​ในการเรียนรู้​ และความพยายาม​ในการแก้ปัญหา​ ซึ่งสิ่งต่างๆ​ เหล่านี้มักจะถูกฝึกจากการเรียนที่ค่อนข้างหนักในสายวิทย์-คณิต​ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเรียนในสายอื่นไม่มีสิ่งต่างๆ​ เหล่านี้​ การสอบคัดเลือกเข้าเรียน​โรงเรียน​แพทย์​ในรอบแรก​ (รอบ​ portfollio)​ จะต้องมีเกรดเฉลี่ย​ 3.5​ ขึ้นไป​ และส่งผลของการสอบ​ Bmat​ และ​ ภาษาอังกฤษ​ ตามที่ทางมหาวิทยาลัย​กำหนด​ ในขณะที่การเรียนต่อโรงเรียน​แพทย์ในต่างประเทศ​ ต้องการเกรดเฉลี่ย​3.0 โดยที่เด็กไม่จำเป็นต้องเรียนวิทยาศาสตร์​ทั้ง​3 ตัว(และไม่มีสายวิทย์ คณิต)เหมือนบ้านเรา​ การเรียนวิทยาศาสตร์​ เป็นการเลือกเรียน​2 ใน​3 ตัวเท่านั้น​ เนื่องจากในต่างประเทศ​มุ่งเน้นให้เด็กรู้จักตัวตนก่อน​ แล้วจึงเลือกเรียน​ จึงไม่มีการเลือกสาย​ เหมือนบ้านเรา​ ทำให้เด็กส่วนใหญ่​ไม่ค่อยเลือกเรียนในด้านวิทยาศาสตร์​ เพราะเป็นวิชาที่ยากกว่าการเรียนภาษา​ ดังนั้นการเลือกเรียนหมอที่เมืองนอกจึงง่ายกว่าเมืองไทย ถ้าพูดถึงการสอบคัดเลือกในกาเรียนหมอเมืองไทยเข้มกว่ามากเพราะเข้มและยากกว่านี่เองทำให้เด็กที่จบหมอจากบ้านเรามามีเก่งในทุกด้านและความรักและภูมิใจในอาชีพ และบ้านเราจะได้หมอที่มีฝีมือที่ดีมากไม่แพ้เมืองนอกเลย..
จะเห็นได้ว่า​ ไม่ใช่ว่าระบบการศึกษา​ของบ้านเราล้มเหลว​แต่เพียงเพราะค่านิยมของคำว่า จบจากเมืองนอก หรือไปเรียนเมืองนอกทำให้เด็กไทยพยายามหาทางไปเรียนต่อต่างประเทศซึ่งจริงๆแล้วการศึกษาบ้านเราเก่งไม่แพ้ใครเพียงแต่เด็กในรุ่นหลัง ขาดความอดทน พ่อแม่ตามใจ พอเจอการเรียนที่ยากหน่อย ก้อไม่พยายามสู้ มีฐานะหน่อยก้อหาทางลัดให้ลูกจบได้ง่ายกว่า จึงทำให้ค่านิยมนี้ยังอยู่กับเด็กไทยไปทุกยุคทุกสมัย. สุดท้ายนี้ครูอยากฝากถึงเด็กม.ปลายทุกคนที่กำลังจะเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัย มันคือ ประตูก้าวแรกที่เราจะเลือกในการดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเลือกสายไหน อาชีพไหนก็ตาม..ขอแค่หาตัวเองให้เจอ และที่สำคัญ เป็นคนดีของสังคม…
#เรียนเมืองไทยภูมิใจกว่าเยอะ.
#เด็กไทยเก่งไม่แพ้ชาติไหน..
#เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ..
#สถาบันคิดสแควร์

Tags : , , , , , , | add comments

            การเรียนคณิตศาสตร์เป็นยาขมของเด็กๆ หลายคน พ่อแม่ผู้ปกครอง หลายๆ ครอบครัวก็ตระหนัก และหาวิถีทางแก้ไข โดยหาที่เรียนให้กับบุตรหลานว่า เพื่อนๆ เขาเรียนกันที่ไหนถึงทำให้เรียนได้ดี ก็แห่ตามกันไปเรียน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลการเรียนไม่ดีขึ้น ก็เปลี่ยนที่เรียนไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง ส่งผลให้บุตรหลานหนีและต่อต้านการเรียนคณิตศาสตร์ทุกวิถีทางที่จะทำได้เช่นกัน

            การแก้ไขปัญหาด้านคณิตศาสตร์กับเด็กในแต่ละวัย จะใช้เวลาแตกต่างกัน สิ่งที่สำคัญคือความร่วมมือระหว่างผู้ปกครอง เด็ก และครูผู้สอน ที่จะต้องให้เวลาซึ่งกันและกันในการร่วมกันแก้ปัญหา หากขาดความร่วมมือจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ไม่มีทางเกิดสัมฤทธิผลที่ดีได้ ปัญหาที่เกิดกับเด็กประถมต้น ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะปัญหาของวัยนี้ เกิดเนื่องมาจากทัศนคติที่เกิดจากตัวผู้สอนมากกว่าปัจจัยด้านอื่น หากปัญหาในประถมต้นไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาก็จะสืบเนื่องต่อยาวไปจนถึงมัธยม จนกลายเป็นการวางแผนการเรียนในอนาคตว่าจะหลีกหนีการเรียนคณิตศาสตร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงอย่างอื่น

            แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าการเลือกเรียนในสายสามัญ (ซึ่งไม่ใช่สายวิชาชีพ) นั้น ไม่ว่าจะเลือกแผนศิลป์ภาษา ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนคณิตศาสตร์ แต่หน่วยกิตที่เรียนน้อยกว่าแผนเรียนสายอื่น ทำให้เวลาเรียนน้อยกว่าสายอื่นด้วยเช่นกัน เมื่อมองต่อไปถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็จะเลือกคณะที่ไม่ต้องลงเรียนคณิตศาสตร์อีกเช่นกัน ซึ่งมีให้เลือกไม่ถึง 10 คณะในประเทศไทย ซึ่งแนวโน้มของเด็กทั่วโลกก็เป็นแนวโน้มนี้เช่นเดียวกัน กลายเป็นว่าเด็กที่จบมาในสายอาชีพเดียวกันมีอยู่ล้นตลาดแรงงาน โดยที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (English Second Language) จะเกิดความเสียเปรียบทางด้านภาษาอีก ควบรวมกับการเลี้ยงดูที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่มีวุฒิภาวะ หากคุณเป็นผู้ประกอบการในยุค 4.0 (คำยอดนิยม) คุณจะเลือกบุคลากรประเภทไหนเข้าทำงาน ในขณะที่คุณมีตัวเลือกอยู่เต็มตลาดแรงงานไปหมด

            หากมองเห็นอนาคตเช่นนี้แล้ว เราลองมาช่วยกันทำให้เด็กๆ ของเราไม่หนีเลขกันดีกว่ามั้ย หรือร่วมกันแก้ปัญหากันตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เค้าเป็นหนึ่งในตัวที่ไม่ถูกเลือกในอนาคต……..

Tags : , , | add comments

          จากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเป็นยุค Globalization ซึ่งทั่วโลกสามารถสื่อสารและมีวิวัฒนาการส่งถึงกันได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้ทุกๆ วงการรวมไปถึงวงการการศึกษาที่มีการพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีและสื่อการสอนจากประเทศต่างๆ มาช่วยในการสอน หรือบางโรงเรียนในต่างประเทศก็มาเปิดเป็นโรงเรียนทางเลือกในบ้านเรามากมาย

            ผู้ปกครองหลายๆ คนที่มีบุตรหลานที่กำลังจะต้องเข้าโรงเรียน ก็มีโรงเรียนทางเลือกอยู่ มากมาย แต่หากแยกกันจริงๆ แล้วมีเพียง 2 แนว คือ โรงเรียนในแนวเร่งเรียน และโรงเรียนในแนวบูรณาการ ซึ่งความแตกต่างกันอยู่ตรงที่นโยบายของโรงเรียนในแนวบูรณาการคือ การเรียนผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยไม่เร่งให้เด็กได้ขีดเขียน แต่ใช้กิจกรรมในการสอน ส่วนในแนวของโรงเรียนที่เร่งเรียน ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเร่ง นั่นคือ เด็กจะต้องเริ่มจับดินสอ ขีดเขียนหนังสือตั้งแต่ในวัยอนุบาล ซึ่งนโยบายแต่ละโรงเรียนก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน โรงเรียนในแนวบูรณาการที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นโรงเรียนในแนวอินเตอร์นั้น ซึ่งหลักๆ แนวบูรณาการนี้เกิดจากหลักสูตรอังกฤษ หรืออเมริกัน ซึ่งครูจะมีการพัฒนาอุปกรณ์และวิธีการสอนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้วหลักสูตรที่ใช้ส่วนใหญ่ใช้กับประเทศในแถบยุโรป ซึ่งประเทศต่างๆ เหล่านั้นจะดูแลบุตรหลานจนถึง 7 ปีแล้วจึงส่งเข้าเรียน และจะสร้างกฎกติกาภายในบ้านให้เด็กต้องทำตาม ให้เด็กรู้จักช่วยเหลือตนเอง ไม่มีพี่เลี้ยงคอยดูแล ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งเมื่อเขาเข้าสู่โรงเรียน เขาจะเรียนรู้ที่จะทำตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด และการเรียนการสอนจะเน้น creative thinking คือการให้เด็กได้คิดสร้างสรรค์ คำถามเป็นคำถามปลายเปิดที่คำตอบไม่มีผิดไม่มีถูก เพื่อให้เด็กได้แสดงความคิดของตนเอง ทำให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออก ส่วนโรงเรียนในแนวเร่งเรียนส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้เด็กนั่งเรียน อ่านเขียนไม่วิ่ง ไม่ซน ไม่เน้นเรื่องการแสดงความคิดเห็น แต่เน้นการแสดงวิธีทำที่ถูก หรือการหาคำตอบที่ถูกต้อง

            โรงเรียนในบ้านเราหลายๆ โรงเรียนก็นำเอาแนวบูรณาการมาปรับใช้ แล้วนำเป็นนโยบายการเรียนการสอนของโรงเรียน แต่ความแตกต่างของบ้านเราคือ ครูผู้สอนของบ้านเรา ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาถูกสอนให้อยู่ในกรอบ ไม่มีการโต้แย้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นอกจากนั้นครูในบ้านเราเน้นเรื่องการทำวิทยฐานะเพื่อปรับเลื่อนขั้นเพื่อความมั่นคงในอาชีพ มากกว่าการทุ่มเทให้กับการพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนี้แล้วครอบครัวคนไทยค่อนข้างมองข้ามเรื่องกฎระเบียบ หรือหน้าที่ความรับผิดชอบ มีข้อแก้ตัวให้กับเด็กว่าเขายังเล็กอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นว่าเด็กถูกละเลยเรื่องการเรียนรู้ เพราะกิจกรรมที่ใช้ในการเรียนที่ทำให้เด็กอ่านออกนั้น เป็นวิธีการเรียนที่ทำให้เด็กอ่านออกอย่างได้ผลดี แต่แต่ทักษะการอ่านและการการเขียน เป็นคนละทักษะ ทางบ้านต้องเสริมเรื่องกล้ามเนื้อมือมัดเล็ก เพราะการเขียนต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ซึ่งหลายๆ ครอบครัวจะมองข้าม ปล่อยเรื่องการเรียน เป็นหน้าที่ของโรงเรียนเพียงฝ่ายเดียว ทำให้เด็กเขียนไม่ได้หรือใช้เวลามากกว่าปกติ หรือเด็กบางคนจะไม่ยอมเขียนเลย เพราะไม่เคยชินกับการขีดเขียน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเขียนจะรู้สึกเบื่อ หรืออาจถึงขั้นต่อต้าน เพราะมีความรู้สึกเหมือนถูกบังคับ ทำให้เด็กไม่ชอบการเรียน

            จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ใช่ว่าโรงเรียนในแนวบูรณาการไม่ดี เพียงแต่ว่าหากทางครอบครัวมีการเสริมเรื่องกล้ามเนื้อมือมัดเล็กให้กับบุตรหลาน จะทำให้เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเขียน จะทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แต่หลายๆ ครอบครัวที่ทิ้งทุกอย่างให้กับโรงเรียน เด็กก็จะมีพัฒนาการค่อยเป็นค่อยไป แต่หากครอบครัวที่นอกจากทิ้งเรื่องเรียนให้กับโรงเรียน และครอบครัวเป็นผู้ส่งความสุข (เกมส์ , ทีวี) ให้กับบุตรหลาน เขาจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน และจะกลายเป็นปัญหาในที่สุด 

ดังนั้นก่อนที่จะเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน เราควรเลือกให้เหมาะกับตัวเด็กและวิธีการดูแลบุตรหลานของเรา อย่าทิ้งหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งให้กับใคร เพราะการที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้ พ่อแม่ผู้ปกครองมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของเขาตั้งแต่เขาลืมตาดูโลก  

Tags : , , , , , , | add comments

cliparti1_outdoor-clipart_08จากข่าวเรื่องของการลดเวลาเรียนให้น้อยลง โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พิจารณาปรับลดชั่วโมงเรียนบางวิชาให้น้อยลง เพื่อให้เด็กได้มีการผ่อนคลาย ไม่เครียดในการเรียนมากเกินไป หรือต้องหอบการบ้านไปทำต่อที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีเวลาที่จะอยู่กับพ่อแม่มากขึ้น

จากข่าวดังกล่าว ครูขอแชร์ความคิดเห็นกับพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัว หากใครต้องการแสดงความคิดเห็น ร่วมกันแชร์ได้นะคะ ใจความของข่าวกล่าวว่าจะมีการน่ำร่องกับโรงเรียนในสังกัด สพฐ ประมาณ 10% เริ่มดำเนินการได้ในเทอม 2 ของปีการศึกษา 2558 นี้ ซึ่งเป็นการส่งนโยบายสู่โรงเรียน โดยยังไม่ชี้ชัดว่าจะปรับลดชั่วโมงเรียนในวิชาใด และจะจัดกิจกรรมประเภทใด การวางนโยบายดังกล่าวโดยไม่มีกรอบหรือแนวปฏิบัติอย่างชัดเจน โดยให้เริ่มปฏิบัติทันทีในเทอมหน้า การทำกิจกรรมก็ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนเพียงผ่ายเดียว หากครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมให้สอดรับกับบทเรียนในห้องเรียนที่ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กๆก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกันหากกิจกรรมที่จัดขึ้นไม่ได้รับความสนใจ หรือไม่มีการจัดกิจกรรมใดๆเลย การลดเวลาเรียน ให้เด็กมีเวลาว่างมากขึ้น อาจเป็นการผลักให้เด็กไปอยู่กับสิ่งที่เขาชอบ เช่น เกมส์ สังคมออนไลน์ มากขึ้น ซึ่งหลายๆคนก็ทราบถึงพิษภัยและน่าจะทราบว่าเป็นเรื่องยากที่จะดึงบุตรหลานออกจากเกมส์หรือ สังคมออนไลน์ดังกล่าว แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของครู ซึ่งอยากแชร์และขอความคิดเห็นของพ่อแม่ผู้ปกครองหลายๆท่านด้วยนะคะ

ครูจา

 

 

Tags : , , , , , , , , , | add comments

จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึกออนไลน์

ใส่บาตร(หนังสือ)ให้ห้องสมุด เติมปัญญาให้น้องๆร.ร.น้ำท่วม โดย…หทัยรัตน์  ดีประเสริฐ

 

                เช้าวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา คณาจารย์ผู้บริหารและนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ นำโดย รศ.ดร.อิสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ อธิการบดี ร่วมกันใส่บาตรหนังสือ ในโครงการ “84 พรรษา ใส่บาตรหนังสือ เติมปัญญาสู่ห้องสมุดประสบอุทกภัย” บริเวณลานโถง อาคาร 100 ปี บพิตรพิมุข จักรวรรดิ  โดยมี ศูนย์หนังสือจุฬาฯ และอาสาคมชัดลึกแทนคุณแผ่นดิน ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อหาหนังสือให้ห้องสมุด โรงเรียนบ้านหนองปรง อ.บางเลน จ.นครปฐม ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยเมื่อปีที่ผ่านมา

ด.ญ.รุจาภา และ ผศ.ศรีสมร ผ่องพุฒิ หัวหน้ากลุ่มงานแผนและคลัง มทร.รัตนโกสินทร์ ซึ่งนำหนังสือไปบริจาค บอกว่า การตักบาตรหนังสือเป็นการทำบุญที่ดีอีกทางหนึ่ง เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้น้องๆในชนบทที่ขาดแคลนได้อ่านหนังสือหลากหลาย เพราะหนังสือที่หลายๆ คนนำมาบริจาคเป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็ก นิยายแปลต่างประเทศ หนังสือสอนวาดภาพ มีหลากหลายแนว และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนที่อ่านมาก หนังสือมีคติสอนใจ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าหนังสือสอนเราไปในตัว การแบ่งปันหนังสือดีๆ ให้คนอื่นๆ จึงเป็นการทำบุญที่สูงค่ายิ่ง

ผศ.รุจี พาสุกรี คณบดีคณะบริหารธุรกิจ กล่าวว่า การใส่บาตรหนังสือครั้งนี้จัดทำขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เป็นการส่งเสริมและปลูกฝังให้นักศึกษาไม่ลืมประเพณีของไทย อย่างการใส่บาตรหนังสือ เป็นการทำบุญทางปัญญา เหมือนเป็นการให้ความรู้และเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ได้อ่านหนังสือ จะพยายามจัดให้เป็นกิจกรรมประจำทุกปี เพราะเป็นกิจกรรมที่ดี สอนให้เด็กๆ มีน้ำใจ รู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น

พิมพ์ชนก ศรีชัยนาท ชั้น ป.3, ชลธิชา หนูเหมืองนา และพรณิชา  แสงเดช ชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านหนองปรง อ.บางเลน จ.นครปฐม ที่เดินทางมารับหนังสือกับครูศิริเพ็ญ ใหญ่สิมา  บอกว่า เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้โรงเรียนได้รับความเสียหาย รวมถึงหนังสือในห้องสมุดก็ถูกน้ำท่วมเสียหายจนหมด ดีใจมากที่มีการจัดกิจกรรมใส่บาตรหนังสือขึ้นและบริจาค หนังสือให้แก่โรงเรียน ห้องสมุดที่โรงเรียนจะมีหนังสือเพิ่มมากขึ้นเพื่อนๆ ที่โรงเรียนก็จะมีหนังสือดีๆ อ่านด้วย

ก่อนหน้านี้ อาสาคมชัดลึกแทนคุณแผ่นดิน ได้ร่วมกับศูนย์หนังสือจุฬาฯ จัดโครงการตักบาตรและทอดผ้าป่าหนังสือสู่ชุมชน กับสำนักงาน กศน.จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อรณรงค์รับบริจาคหนังสือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาหนังสือนำไปจัดทำโครงการส่งเสริมการอ่าน และปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันรักการอ่าน 2 เมษายน ณ วัดอินทาราม ต.เหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

โดยมีนายอุทาร พิชญาภรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธาน ลังจากพิธีตักบาตรและทอดผ้าป่าหนังสือจะมีการเชิญพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปประดิษฐาน ณ ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อ.อัมพวา ซึ่งอยู่ในบริเวณวัดอินทาราม เป็นห้องสมุดแห่งใหม่ที่จะมีพิธีเปิดในเดือนมิถุนายน 2555 ซึ่งยังเปิดรับบริจาคหนังสือและสื่อทุกประเภททั้งเก่าและใหม่ ผู้มีจิตศรัทธาแจ้งความจำนงได้ที่ โทร.0-3471-5485-หรือ 0-3471-5901

ส่วนอาสาคมชัดลึกแทนคุณแผ่นดิน ก็ยังคงร่วมกับพันธมิตรจัดหาหนังสือให้โรงเรียนที่ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง เมื่อเร็วๆ นี้ได้บริจาคอุปกรณ์การเรียน จัดหาหนังสือใส่ห้องสมุด และจัดหาที่นอนสำหรับเด็กเล็กให้แก่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ประสบปัญหาอุทกภัยเช่นกัน และในอนาคตจะไปร่วมสร้างห้องสมุดที่ โรงเรียนบ้านคำบอน อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร อีกด้วย สนใจสอบถามได้ที่ โทร.0-2338-3349, 0-2335-3250

Tags : , , | add comments

จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์

วันพฤหัสที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันนี้ ( 29 ก.พ.) ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับชั้น ม.1 และ ม.4 ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปีการศึกษา 2555 ว่า ในปีนี้ สพฐ. พยายามทำให้การรับนักเรียนมีความเป็นระบบ และต้องการให้ผู้ปกครอง และนักเรียนได้มีข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจเข้าเรียนต่อ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม มีความชัดเจนในการวางแผน และเตรียมตัวที่ดี

ดังนั้น สพฐ. จึงจะจัดงานมหกรรมตลาดนัดเรียนต่อชั้น ม.1 และ ม.4 ในวันที่ 15-17 มี.ค.นี้ ที่อิมแพคเมืองทองธานี ซึ่งผู้ปกครองและนักเรียนจะได้รับทราบนโยบาย ตลอดจนแนวทางการรับนักเรียนของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง 290 แห่งทั่วประเทศ เช่น โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เทพศิรินทร์ สตรีวิทยา เป็นต้น ซึ่งในปีนี้จะเปิดรับสมัครเพียงรอบเดียวเท่านั้น

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า ภายในงานยังจัดให้มีการทดลองทำข้อสอบแข่งขันคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง หรือข้อสอบ Pre-Test ด้วย ซึ่งข้อสอบดังกล่าวออกโดยครูของโรงเรียนนั้นๆ โดยจะมีความใกล้เคียงกับข้อสอบที่จะใช้ในการสอบเข้าเรียนจริง ดังนั้นหากนักเรียนต้องการเข้าเรียนที่โรงเรียนใดก็สามารถมาลองทำข้อสอบได้ เพื่อจะได้ทราบว่าแนวข้อสอบของแต่ละโรงเรียนเป็นอย่างไร และตนเองทำคะแนนได้เท่าใด เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเข้าเรียนต่อไป ซึ่งหากคะแนนออกมาไม่ดีเด็กก็อาจจะไปศึกษาข้อมูลของโรงเรียนที่เป็นเครือข่ายได้ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนเหล่านี้มีคุณภาพที่ใกล้เคียงกับโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง

“การสอบจะมีทั้งหมด 19 สนามสอบ เปิดให้สมัครและสอบได้ภายในงาน โดยเปิดสอบวันละ 6 รอบ แบ่งเป็น เช้า 3 รอบ และบ่าย 3 รอบ สอบรอบละ 1 ชั่วโมง จากนั้นจะทำการตรวจข้อสอบโดยคอมพิวเตอร์ และประกาศผลให้เด็กทราบทันที”

ดร.ชินภัทร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยืนยันว่าขณะนี้โรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูงทั้ง 290 แห่งได้จัดทำแผนการรับนักเรียนเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งมีตัวเลขที่ชัดเจนว่าจะรับนักเรียนห้องละกี่คน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 40-50 คน ดังนั้นเมื่อมีการประการผลสอบ โรงเรียนเหล่านี้จะไม่สามารถเปิดรับสมัครรอบสองได้อีก ซึ่งเด็กที่พลาดจากการสอบรอบแรก ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะเป็นผู้จัดที่นั่งให้แก่นักเรียนเอง โดยจะพิจารณาจากโรงเรียนเครือข่ายที่อยู่ในเขตพื้นที่บริการ

ดังนั้นหากนักเรียนต้องการเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่บริการ ก็ควรจะเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมกับตัวเอง มากกว่าที่จะไปเลือกเข้าโรงเรียนที่มีอัตราการแข่งขันสูง ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้จะต้องมีการสอบคัดเลือก และใช้คะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET 20% ในการคัดเลือกเด็กด้วย

Tags : , , , | add comments

จากหนังสือพิมพ์คมชัดลึกออนไลน์
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ชี้การศึกษาไทย’ระบบขนมชั้น’ อนาคตเด็กอัจฉริยะ’สมองฝ่อ-สูญสิ้น’ โดย… ขวัญเรียม แก้วสุวรรณ

โจทย์ใหญ่ที่สังคมต้องร่วมหาคำตอบให้เร็วที่สุด กับเด็กเยาวชนอนาคตของชาติที่กำลังเผชิญกับการศึกษาที่ด้อยคุณภาพ ส่งผลให้กล้าไม้พันธุ์ดี เฉกเช่น “เด็กที่มีความสามารถพิเศษ” หรือ “เด็กอัจฉริยะ” หรือ “เด็กหัวกะทิ” ไร้ซึ่งปุ๋ยคุณภาพบำรุงรากให้เติบโตเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ให้ร่มเงาแก่สังคมต่อไป
ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ประธานโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษและเด็กที่มีความต้องการพิเศษแห่งชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ในฐานะ “กูรูเด็กอัจฉริยะ” บอกว่า เป็นที่ทราบกันว่า ” เด็กที่มีความสามารถพิเศษ” สมองที่เป็นเลิศทางความคิดด้านทักษะต่างๆ เหนือกว่าคนปกติ ถ้าคิดชอบจะทำอะไรต้องทำได้สำเร็จ และผลงานออกมาดี แต่ “น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะยุคไหน รัฐบาลใครก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลอย่างถูกวิธีให้เขาได้ใช้ศักยภาพสร้างสังคมให้ทัดเทียมนานาประเทศ”

ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ภาพที่ปรากฏด้านเด็ก การจัดการการศึกษาของไทย ยังคงเดินตามหลังประเทศแถบยุโรปอยู่มาก ทั้งๆ ที่มีแนวทางการจัดที่สามารถนำการศึกษาให้มีคุณภาพได้ แต่ติดที่ไม่มีใครคิดที่จะวางแผนการจัดการศึกษาอย่างจริงจัง แต่ตราบใดที่การเมืองยังคิดว่าการศึกษาเป็นเรื่องของรัฐบาล รัฐบาลใหม่ กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะอีกกี่ปีการศึกษาก็ยังคงไม่มีคุณภาพเช่นเคย

“สถิติเด็กเกิดประมาณ 7-8 แสนคนต่อปี จะมีเด็กที่มีความสามารถพิเศษประมาณจำนวน 7-8 หมื่นคนต่อปี เกือบทั้งหมดที่ถูกลืมจากสังคมผู้มีอำนาจบริหารการจัดการ ท้ายที่สุดพวกเขาต้องกลับคืนสู่สังคมเสมือนคนปกติทั่วไปมาถึงวันนี้”

ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาที่ทำงานด้านนี้ ยอมรับว่าเหนื่อยมาก เหนื่อยจริงๆ แทนที่จะสนับสนุนส่งเสริมเด็กที่มีอยู่จำนวนน้อยมากได้รับการพัฒนา…แต่กลับต้องวิ่งป้องกันไม่ให้เด็กหลุดออกไป ซึ่งมันยากและเหนื่อยกว่ากันเยอะ

ถามว่าวันนี้ควรจะเริ่มได้หรือยัง “กูรูเด็กอัจฉริยะ” บอกว่า มันควรเริ่มได้ เพราะการเริ่มต้นไม่มีคำว่าสาย เริ่มจากการปรับ ” การศึกษาที่เป็นแบบขนมชั้น” ไม่มีซ้ำชั้นเรียน ให้ ” เรียนตามศักยภาพ” ก่อนเข้าเรียนเด็กทุกระดับชั้นต้องทำ “แบบทดสอบเพื่อวัดการศึกษารายบุคคล” เพื่อจัดว่าเด็กมีความรู้แต่ละวิชามากน้อยแค่ไหน แล้วจัดให้เข้าเรียนตามชั้น เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แบบ 3 ชั้นตามลำดับความยาก เช่น เด็กบางคนเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้น 1 แต่วิชาวิทยาศาสตร์เรียนชั้น 3 บางคนทุกวิชา แต่ระดับชั้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถพิเศษของเด็กแต่ละคน

ส่วนครูก็ต้องมีเครื่องมือที่จะวัดเด็ก เสมือนคุณหมอมีเครื่องมือใช้ตรวจผู้ป่วยว่าจะมีแนวทางการรักษาด้วยวิธีใด แต่ครูไทยไม่มีอะไรสักอย่าง เด็กมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ใครเรียนได้ไม่ได้ก็ไม่รู้ หากเด็กทำไม่ได้ก็ลอกเพื่อน สุดท้ายก็ไม่ได้เลื่อนชั้นอยู่ดี

“ครูไทยสอนคูณเลข ทั้งๆ ที่เด็กบางคนยังบวกเลขไม่เป็นด้วยซ้ำ ยังไงละเด็กคนนั้นก็ตายไปเลย บวกเลขก็ยากแล้วยังต้องมาคูณ แต่ถ้ามีการสอบวัดแวว และเรียนตามชั้น เชื่อว่าประเทศไทยจะมีทรัพยากรบุคคลที่มีค่าต่อการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต” กูรูเด็กอัจฉริยะ กล่าว

“กูรูเด็กอัจฉริยะ” บอกว่า การจัดการศึกษาและดูแลให้เข้ากับสภาพของเด็ก ยกตัวอย่างเด็กนักเรียนในคนหนึ่งในโครงการ ศึกษาอยู่ชั้นป.5 วันปกติจะเรียนที่โรงเรียนกับเพื่อนวัยเดียวกัน ชั้นเดียวกัน ส่วนวันเสาร์ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย “กูรูเด็กอัจฉริยะ” เล่าว่าตอนที่เรียนที่ห้องกับเพื่อนๆ เด็กมีพฤติกรรมไม่ดี ก้าวร้าวกับครู ไม่ส่งการบ้าน หนีเรียน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อน คณาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชื่นชมเด็กคนนี้ว่า นิสัยดี ตั้งใจเรียน เข้ากับทุกคนได้ดี นั่นแสดงว่า เด็กจะทำได้ดีเพราะเขาอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่

“ตอนที่อาจารย์เรียนอยู่ต่างประเทศ มีเด็กคนหนึ่งเรียนระดับประถม แต่ไปเรียนกับพี่ๆ ในมหาวิทยาลัย พอตกกลางคืนพี่ๆ จะไปเที่ยวสาว พกถุงยางอนามัยติดตัว เอาออกมาให้น้องดู น้องก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ใช้ทำอะไร น้องก็เลยไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่าน เห็นไหมตลกนะเพราะในบางมุมเขาก็ยังเด็กๆ” “กูรูเด็กอัจฉริยะ” กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็ก และวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เด็กที่มีความสามารถพิเศษไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม จะต้องได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี หากแต่เขาถูกปล่อยปละจะทำให้สมองกลับสู่ภาวะปกติ เช่น มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์ แต่หากเด็กต้องไปเรียนดนตรี เขาจะทำไม่ได้ดีเท่าสิ่งที่เขาชื่นชอบ แต่หากได้เรียนคณิตศาสตร์เขาจะทำได้ดี และได้เร็วกว่าคนอื่นๆ เช่น ใช้เวลาเรียน 10 วัน แต่เด็กคนนี้อาจเรียนแค่ 5 วัน

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะต้องไปยัดเยียดให้เขาเรียนหนัก ฝึกหนัก นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพียงแค่อย่าให้เขาทิ้ง ต้องได้เรียนสม่ำเสมอ แต่ถ้าหากเด็กไม่ได้อยู่ทำในสิ่งที่เขาชอบและมีความสามารถ จะส่งผลให้สมองที่เป็นอัจฉริยะกลายเป็นคนปกติทั่วไป หรือที่เรียกว่า สมองฝ่อไปเลยก็ได้

ขณะเดียวกันการดูแลด้านจิตใจ อารมณ์ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเพื่อนที่เรียนวัยเดียวกันอาจจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง เพราะความคิดเขาเหมือนผู้ใหญ่ในเรื่อง หรือเมื่อคุยกับผู้ใหญ่อาจจะไม่รู้เรื่อง เพราะในบางมุมอาจมีนิสัยเป็นเด็ก ดังนั้น ผู้ใหญ่ต้องดูแลอย่างเหมาะสม ปรึกษานักวิชาการควบคู่ไปด้วย

————————————————————

Tags : , , , | add comments