13124425_1012865902136578_3768923125518552236_n            หลายๆ ท่านน่าจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับการทุจริตการสอบคัดเลือกคณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ศาสตร์ และเภสัชศาตร์ ในวันที่ 7 – 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ของมหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีการใช้อุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ นั่นคือการติดกล้องไว้กับแว่นตาเพื่อถ่ายภาพข้อสอบ และมีการส่งคำตอบกลับไปยังนาฬิกาข้อมือ ซึ่งทางสถาบันกวดวิชาจะมีการรับรองผล โดยที่ผู้เข้าสอบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเบื้องต้นคือ นาฬิกาเป็นเงิน 50,000 บาท แล้วหลังจากที่มีการประกาศผลสอบแล้ว ผู้เข้าสอบต้องชำระอีกเป็นจำนวนเงิน 800,000 บาท ซึ่งทางสถาบันกวดวิชามีการรับรองผลในการสอบทั้งสามคณะ ได้แน่นอน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว มันสามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของสถาบันกวดวิชา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถสูง แต่ขาดจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ ซึ่ง 3 คณะดังกล่าวเป็นคณะที่เมื่อจบการศึกษาแล้ว จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตคนทั้งสิ้น หากจะกล่าวว่าทางสถาบันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงขนาดฉลาดใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้อย่างแยบยลเช่นนี้ อีกส่วนก็เป็นส่วนของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งแน่นอนต้องเป็นผู้ที่ชำระเงินตามที่ทางสถาบันกวดวิชาเป็นผู้เรียกเก็บในอัตราที่สูงลิบลิ่ว หากการทุจริตครั้งนี้สำเร็จ แน่ใจหรือว่าบุตรหลานจะสามารถเรียนได้ หากเรียนไม่ได้จะต้องมีการทุจริตอีกกี่ครั้ง ต้องถูกเรียกเก็บค่าทุจริตอย่างนี้เรื่อยไปจนจบ แล้วสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น แล้วตัวบุตรหลานเองจะหาความภูมิใจในตนเองได้อย่างไร ในเมื่อความสำเร็จในการศึกษาได้มาเพราะเงินที่พ่อแม่ทุ่มไป ไม่ใช่ความสามารถของตนเองเลย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราควรต้องย้อนกลับมามองวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันทีมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั้งในการอยู่เป็นเพื่อน (ที่สอนให้เรารู้จักความก้าวร้าว) เป็นพี่เลี่ยง (เมื่อเวลาที่พ่อแม่ไม่อยากให้เราอยู่ใกล้) พ่อแม่เป็นเพียงเครื่องหารายได้ เพื่อปรนเปรอความต้องการของลูกหลานในทุกๆ เรื่องเท่านั้น ครอบครัวขาดการพูดคุย ถึงเหตุการณ์ในแต่ละวัน เพื่อการอบรมบ่มนิสัย และบ่มเพาะจริยธรรมให้กับบุตรหลานกันหรือเปล่า

ครูจา

Leave a Reply