วิชาชีวิตที่ต้องเรียนรู้ จากวิกฤติมหาอุทกภัย
Posted by malinee on Tuesday Nov 22, 2011 Under Uncategorizedจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์
วันอังคาร ที่ 22 พฤศจิกายน 2554
ธาตุในชีวิตมนุษย์ประกอบไปด้วย ดินน้ำ ลม ไฟ ซึ่งธาตุทั้ง 4 นี้แม้จะมีคุณค่าอย่างมหาศาล แต่ก็มีโทษได้อย่างมหันต์ เช่นกันหากมีเกินความพอดี เช่นกรณีการเกิดอุทกภัยครั้งนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทยหลายล้านคนที่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน บ้านเรือน อาชีพ ต้องทิ้งบ้านเรือนไปอาศัยอยู่ตามถนนหนทางหรือศูนย์อพยพต่าง ๆ ส่วนนี้คงไม่ต้องพูดถึงจิตใจของผู้ประสบภัยว่าจะทุกข์หนักหนาสาหัสแค่ไหนและความทุกข์ที่ว่านี้ก็ได้ขยายไปสู่ทุกภาคส่วนเพราะต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมไปด้วยกัน
แต่อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้หากมองแต่ด้านลบอย่างเดียวก็จะยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้เกิดมากขึ้นเพราะอย่างไรเสียเหตุก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วก็คงต้องหามุมบวกมาคิดเพื่อทำให้ชีวิตมีพลังใจ มีสติในการแก้ปัญหามากขึ้น ด้วยมหาอุทกภัยครั้งนี้แม้จะมีความรุนแรงแต่ก็พอมีช่องให้พอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้อยู่บ้าง ซึ่งแสงสว่างที่ว่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนไทยโดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะได้เรียนรู้วิชาชีวิตจริงจากประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะได้มีบทเรียนกับการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดจนส่งผลให้เกิดมหาอุทกภัยขึ้นเพื่อนำไปแก้ไขข้อบกพร่องต่อไป ซึ่งบทเรียนจากชีวิตจริงที่ว่านี้จึงน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ทรงคุณค่ากับการดำเนินชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตในหลายแง่หลายมุม คือทำให้คนไทยยอมรับถึงความเป็นจริงของวิถีชีวิตว่าจะต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติทั้งช่วงที่ให้คุณและให้โทษอย่างมีสติให้ได้และที่สำคัญจะได้เกิดความตระหนักและมีจิตสำนึกที่ดีว่า หากมนุษย์คิดแต่จะตักตวงประโยชน์จากธรรมชาติฝ่ายเดียว สักวันหนึ่งธรรมชาติก็จะต้องเอาคืนบ้างจนได้ไม่ช้าก็เร็ว
ทำให้คนไทยมีเกราะทางจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นเพราะหากสามารถปรับจิตใจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไปได้ก็เหมือนกับชีวิตได้รับวัคซีนป้องกันภัยให้จิตใจชั้นดีทำให้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลังจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป ซึ่งตัวอย่างที่ว่านี้จะเห็นได้ชัดเจนกับคนรุ่นเก่าหรือผู้สูงอายุในปัจจุบันที่เจอปัญหานี้แล้วยังมีพลังใจดีอยู่เมื่อถูกสื่อสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จึงได้คำตอบว่า “เป็นเรื่องของธรรมชาติ น้ำมาเดี๋ยวก็ไหลไป อยู่ใต้ฟ้าไปกลัวอะไรกับฝน” อะไรทำนองนั้น ทั้งนี้ก็ด้วยผ่านอุปสรรคปัญหามามากแล้วนั่นเอง แต่ในทางกลับกันหากเป็นคนรุ่นใหม่สิ่งแรกที่เห็นก่อนเลยก็คือร้องไห้ แสดงความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส บางรายถึงกับต่อว่าต่อขานคนอื่นว่าไม่เข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ดูเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นเฉพาะตนหรือคนจำนวนมากทั้งนี้ก็ด้วยยังมีเกราะคุ้มกันด้านจิตใจน้อยอยู่นั่นเอง
ทำให้เยาวชน คนไทย ได้เรียนรู้ความเป็นจริงด้านภูมิศาสตร์และธรรมชาติของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปว่าหากมนุษย์ยังไม่หยุดการทำลายความสมดุลของธรรมชาติแล้วความหายนะก็คงจะคืบคลานเข้ามาในไม่ช้า ซึ่งมหาอุทกภัยครั้งนี้ก็ถือเป็นสัญญาณหนึ่งที่เตือนว่าธรรมชาติเอาจริงแน่ ซึ่งความสมดุลของธรรมชาติของน้ำที่ว่านี้เมื่อหล่นจากฟ้าก็ต้องถูกซึมซับลงไปในดินจนอิ่มตัวก็จะไหลไปยังที่ต่ำตามห้วย หนอง บึง และไหลลงสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำ ลำคลอง และสู่ทะเลในที่สุด แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์ได้ทำให้วัฏจักรที่ว่านี้เสียไป ด้วยการไปทำลายที่อยู่ที่ไหลของน้ำด้วยสิ่งปลูกสร้างสารพัดประเภทและเมื่อมีน้ำมากขึ้นต่างก็พยายามสกัดกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้าพื้นที่ที่คิดว่าฝ่ายตนเองรับผิดชอบทำให้เส้นทางเดินของน้ำผิดธรรมชาติไป จนเกิดการสะสมน้ำจำนวนมากในที่สุดสิ่งกีดขวางทั้งหลายจึงเอาไม่อยู่เกิดเป็นอภิมหาอุทกภัยครั้งนี้ในที่สุด
ได้ทำให้คนไทยได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับน้ำอย่างมีความสุข โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตอยู่กับวัตถุ สิ่งก่อสร้างทำให้ห่างไกลจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติซึ่งจะต่างกับผู้คนในอดีตที่วิถีชีวิตจะอยู่กับน้ำมาโดยตลอดทั้งการตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แหล่งน้ำด้วยต้องอาศัยน้ำในการดำเนินชีวิตทั้งอุปโภค บริโภค และอาชีพ จึงเห็นคุณค่าของน้ำและรับรู้ธรรมชาติของน้ำที่จะเกิดขึ้นตามฤดูกาลจึงสามารถปรับตัวอยู่กับน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติผิดกับคนรุ่นใหม่พอเห็นน้ำมากหน่อยก็เกิดความกังวล หวาดกลัวทิ้งบ้านเรือนทั้งที่น้ำยังท่วมไปไม่ถึงได้ทำให้ทุกฝ่ายทราบข้อเท็จจริงว่ากรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้สะสมขยะและสารพิษไว้จำนวนมาก เพราะน้ำท่วมในครั้งนี้นอกจากจะมีปริมาณน้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ต่าง ๆ อย่างหนักแล้วยังได้เห็นขยะ สารพิษต่าง ๆ ไหลมากับน้ำจำนวนมากอีกด้วย น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้จึงถือเป็นโอกาสชะล้างสารพิษสิ่งหมักหมมมานานให้หมดไป ก่อนที่ทำให้คนไทยต้องตายผ่อนส่งตามมานั่นเอง
ได้ทำให้ทุกฝ่ายเห็นถึงศักยภาพในการแก้ปัญหาของผู้ที่เกี่ยวข้องว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด เพราะเท่าที่ดูจากการแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้แล้วก็เชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะมองเห็นข้อบกพร่องอยู่มากมายโดยเฉพาะแนวทางและวิธีคิดที่ไปคนละทิศละทางจนขาดเอกภาพ เช่น ภาคราชการก็ยังต้วมเตี้ยมอยู่กับขั้นตอนของการบังคับบัญชาและตัวหนังสือที่ใช้สั่งการทั้งที่เป็นปัญหาภัยพิบัติฉุกเฉินแท้ๆ ด้านนักวิชาการก็เน้นแต่ทฤษฎีเป็นหลักจนทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองด้วยมาจากคนละสำนักทำให้ข้อมูลและวิธีการแก้ปัญหาจึงเป็นไปในลักษณะ “หนูทดลองยา” หรือ “การฝึกทหารในสนามรบ ก็จบชีวิตทั้งผู้ฝึกและคนถูกฝึก” นี่ยังไม่รวมถึงการนำการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาด้วยการแยกเขา แยกเรา ชิงดี ชิงเด่น ทำให้การแก้ปัญหาไม่ทันการ ส่วนนี้นอกจากประชาชนจะทนทุกข์กับน้ำที่ท่วมหนักแล้วยังต้องมาพลอยเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมดังกล่าวอีกด้วย
ได้ทำให้เยาวชนและนานาชาติได้เห็นถึงจุดเด่นของความเป็นคนไทยที่ยังมีความงดงามด้านจิตใจมีจิตอาสายามเห็นผู้อื่นตกทุกข์ได้ยากหรือมีความลำบากมากกว่าอยู่ จึงเกิดภาพการช่วยเหลือจากบุคคลทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่น้ำใจจากชาวเขาบนดอย แม้ส่วนนี้จะมีผู้เห็นแก่ได้ที่ยังฉกฉวยโอกาสหาประโยชน์บนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของผู้คนส่วนใหญ่เท่านั้นซึ่งจิตใจที่ดีงามนี้จึงอยากให้สืบทอดกันต่อไปเพราะนี่คือสิ่งที่ต่างชาติเขาเห็นคุณค่าและชื่นชมความเป็นคนไทยมากที่สุด
ทำให้ได้เรียนรู้ในศักยภาพของสื่อมวลชนไทย เพราะจากเหตุการณ์ครั้งนี้
สื่อทุกแขนงต่างแข่งขันนำเสนอทั้งเหตุการณ์และข้อมูลกันอย่างหลากหลายจนเกินความพอดีไป โดยเฉพาะวิธีการนำเสนอที่ส่วนใหญ่จะออกไปทางแนว “ดราม่า” ที่ทั้งภาพและภาษาเน้นหนักที่ต้องการสร้างความตื่นตระหนก หวาดกลัวให้กับผู้รับข่าวสารทั้งสิ้น เช่นรายงานว่า “คงไม่รอดแน่ วิกฤติหนัก หนีตายอลหม่าน” นี่ยังไม่รวมบางรายการที่ได้ใช้เหตุการณ์นี้จัดเป็นรายการวาไรตี้ทั้งที่ชาวบ้านเขาทุกข์โศกอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหวังดึงให้มีการติดตามชมรายการของตนเองให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ชมมีหลายระดับหากไม่สามารถสังเคราะห์ข่าวสารเป็นแล้วก็จะ “อิน” กับสิ่งที่นำเสนอจนเกิด “วิตกจริต” ไปในที่สุด
บทเรียนท้ายสุดที่จะขอนำเสนอในที่นี้ก็คงเป็นพระราชวินิจฉัยการบริหารจัดการน้ำของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพมองการณ์ไกลว่าสถานการณ์น้ำบ้านเราจะเป็นอย่างไรพร้อมวินิจฉัยแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่พร้อมรับเหตุที่จะเกิดขึ้นไว้ให้ครบทุกขั้นตอนมากว่า 40 ปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีรัฐบาลชุดไหนนำไปดำเนินการจนเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2538 พระองค์ก็ยังได้มีพระราชดำริย้ำให้เห็นถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่จะทำให้ประเทศอยู่รอดอีกแต่จนแล้วจนรอดก็ยังขาดการปฏิบัติอยู่เช่นเดิม จนเกิดมหาอุทกภัยครั้งนี้ตามมา เรื่องนี้เมื่อมีการนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเผยแพร่จึงน่าจะทำให้ประชาชนได้หูตาสว่างขึ้นว่ารัฐบาลที่อ้างว่าจะทำประโยชน์เพื่อประชาชนนั้นทำจริงได้แค่ไหน เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่ร่วมกันส่งสัญญาณไปถึงนักการเมือง พรรคการเมืองให้ได้ว่า ต่อไปนี้หากไม่มีนโยบายหรือแนวทางการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างจริงจังแล้วก็จะไม่เลือกเข้ามาให้เกะกะลูกตาอีกต่อไปและที่สำคัญอย่าไปเห็นแค่เศษเล็กเศษน้อยที่นักการเมืองหยิบยื่นให้เพราะเมื่อแลกกับความเดือดร้อน ความสูญเสีย ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นแล้วไม่คุ้มกันเลย เพราะเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เชื่อว่าครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหากไม่มีระบบการป้องกันและบริหารจัดการน้ำที่ดีแล้ว ความหายนะก็จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เห็นได้อีกเป็นแน่.
กลิ่น สระทองเนียม